Phones





TQMalpha สู่เป้าหมาย 29,000 ล้าน

2022-11-16 08:16:36 300



TQMalpha สู่เป้าหมาย 29,000 ล้าน (สกู๊ปพิเศษ)
เดินหน้าทำผลงานเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สำหรับ บริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) หรือ TQMalpha โดยผลดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2565 มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มีรายได้รวม 925 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของยอดขายทุกช่องทางทั้ง Tele sale และออนไลน์  

โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดขายเติบโต ยังคงเป็นประกันภัยรถยนต์ที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท เนื่องด้วยจำนวนลูกค้าใหม่มีการขยายตัวมากขึ้น จากการฟื้นตัวของสภาพเศรษฐกิจที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น รวมถึงประกันภัยบ้านมียอดขายเพิ่มขึ้น ภายหลังที่บริษัทมีการใช้กลยุทธ์ในการสร้างการเรียนรู้ให้แก่ผู้บริโภคได้เข้าใจถึงผลประโยชน์จากความคุ้มครองของประกันภัยบ้าน และการพัฒนาแพลตฟอร์มในการให้บริการที่สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น ประกอบกับ สถานการณ์ภัยพิบัติในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในทุกปี ส่งผลให้คนหันมาซื้อประกันภัยบ้านมากขึ้น ขณะที่ประกันสุขภาพเป็นอีกผลิตภัณฑ์ที่ยังคงทำยอดขายได้ดี จากเทรนด์ด้านสุขภาพที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ไร้สถานการณ์โรคระบาด 

เดินหน้าสู่เป้าหมาย 29,000 ล้านบาท
ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธาน TQMalpha ระบุว่า "ในปีนี้ บริษัทฯ มีการปรับยุทธศาสตร์ และโครงสร้างธุรกิจใหม่เป็น TQMalpha ที่เป็นมากกว่าธุรกิจนายหน้าประกัน สู่ธุรกิจการเงิน และเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม ทั้งนี้ การขยายธุรกิจใหม่ เริ่มสร้างรายได้และกำไรได้แล้ว โดยไตรมาสนี้ มีค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลงอยู่ที่ 223 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ ยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ไว้ได้ในระดับ 52% ซึ่งยังใกล้เคียงกับไตรมาสที่แล้ว" 
สำหรับในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2565 บริษัทฯ ได้เตรียมพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการประกันภัยอย่างเต็มรูปแบบในทุกช่องทาง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกไลฟ์สไตล์ ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะประกันสุขภาพที่ใช้ลดหย่อนภาษีจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคมีความต้องการสูงมากในไตรมาส 4 ขณะที่ธุรกิจใหม่ ทั้งธุรกิจการเงินและเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตเพื่อให้สามารถสร้างรายได้ให้เท่ากับธุรกิจนายหน้าประกันภัย และเชื่อมั่นว่าภาพรวมผลประกอบการทั้งปี จะทำผลงานได้ดีตามเป้าหมายที่วางไว้ 29,000 ล้านบาท

โบรกฯ ให้เป้า 57 บ. แนะนำ "ซื้อ"
ด้าน บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า TQM รายงานกำไรปกติ Q3/65 ที่ 206 ล้านบาท โต 14.4% จากไตรมาสก่อน และโต 14.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุนหลักๆ มาจากรายได้รวมที่โต 16.1% หลังความต้องการซื้อประกันผ่านช่องทาง Telesales และการขายผ่าน Digital Platform ปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประกันยานยนต์, กลุ่มประกันสุขภาพ และประกันที่อยู่อาศัย ที่บริษัทเน้นทำการตลาดมากในช่วงที่ผ่านมา บวกกับรายได้อื่นๆ ปรับขึ้น 76% หลักๆ มาจากรายได้ดอกเบี้ยของ Easy Lending ที่โตตามความต้องการผ่อนชำระค่าเบี้ยประกันโดยตรงกับ TQM แทนการใช้บัตรเครดิต ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 51.7% จาก 51.2% ใน Q3/64 หลักๆ มาจากการปรับเพิ่มขึ้นของรายได้ที่เร็วกว่าค่าใช้จ่าย ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปรับขึ้น 17.4% จากการปรับโครงสร้างภายใน และการขยายธุรกิจใหม่ๆ

ขณะที่กำไรสุทธิช่วง 9เดือนของปี 65 คิดเป็น 67.9% ของประมาณการทั้งปี และเรายังคงประมาณการเดิม โดยคาดผลดำเนินงานของ TQM มีแนวโน้มจะเร่งตัวขึ้นใน Q4/65 ทั้ง YoY และ QoQ หลังเข้าสู่ช่วง High Season ที่จะมีการซื้อประกันเพื่อต่ออายุ และรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากกว่าช่วงอื่นของปี ประกอบกับคาดจะมีความต้องการซื้อประกันในกลุ่มยานยนต์เข้ามาเพิ่มขึ้น ตามปริมาณการใช้ยานยนต์ที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ และคาดประกันการเดินทางจะเริ่มปรับตัวขึ้นเด่น ตามปริมาณนักท่องเที่ยวที่เริ่มเดินทางเข้า-ออกมากขึ้น ตั้งแต่ช่วงต้น Q4  

นอกจากนี้ คาดจะเริ่มเห็น Synergy ระหว่างกลุ่มบริษัท ภายใต้ TQM Alpha ทั้งในส่วนของการทำ Cross Selling ผลิตภัณฑ์ประกันต่างๆ รวมถึงการขยายฐานผู้ใช้งาน TQM24 Digital Platform ของบริษัท และยอดปล่อยสินเชื่อของ Easy Lending จะเร่งตัวขึ้นเรื่อยๆ ตามยอดขายประกันของบริษัท หนุนให้ทั้งปี 2565 คาด TQM จะมีกำาไรปกติ 882 ล้านบาท เติบโต 6.6% เมื่อเทียบปีก่อน และโต 15.9% ในปี 2566

ทั้งนี้ มองแนวโน้มกำไรปกติของ TQM อยู่ในทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่อง จากจุดต่ำสุดใน Q2/65 และจะยิ่งปรับตัวดีขึ้นในปี 2566 รับรู้ผลจากการทำ Synergy ในกลุ่มบริษัทที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจการเงินที่จะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นต่อผลดำเนินงานรวม ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside ราว 47.1% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2566 ที่ 57 บาท (อิงวิธี DCF และเพิ่มผลบวกจาก Yuanta ESG Rating ที่ AA ทำให้มีส่วนเพิ่มจากการประเมินมูลค่าอีก 2%) จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”