Phones
หน้าแรก
Stock
เศรษฐกิจมหภาค
แบงก์ - Finance
อสังหาริมทรัพย์ - Marketing
ประกัน - ท่องเที่ยว
Variety
สกู้ป พิเศษ
SET
NL รับมาตรฐานสากล “ISO 14001:2015” และ “ISO 45001:2018”
MAI
DOD ส่งซิก ปั้นรายได้รวมปี 68 แตะ 800 ล้านบ. ลุ้นจ่ายปันผล
IPO
BKA เคาะ IPO หุ้นละ 1.80 บาท เปิดจองซื้อ 8-10 เม.ย.นี้
บล./บลจ
Webull ปลื้มกระแสตอบรับ ‘Webull Masters 2025’
เศรษฐกิจ-การเงิน-การคลัง
SCB WEALTH ชี้ภาษี ‘ทรัมป์’ ฉุดจีดีพีไทยโต 1.5%
การค้า - พาณิชย์
พาณิชย์จับตาสินค้าเสี่ยงแอบอ้างถิ่นกำเนิดไทย ส่งออกไปสหรัฐฯ
พลังงาน - อุตสาหกรรม
RT ผนึก กรมโยธาฯ ตรวจสอบอาคารในกรุงเทพฯ
คมนาคม - โลจิสติกส์
DMT จับมือ PTG ส่งความห่วงใยช่วงสงกรานต์ 2568
แบงก์ - นอนแบงก์
TTB เปิดกลยุทธ์ลุยกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี - ธุรกิจขนาดกลาง
ไฟแนนซ์ - ลิสซิ่ง
KTC ราศีจับ รับเรตติ้งใหม่ ‘AA’ จากทริสเรตติ้ง
SMEs - Startup
LIMIX ผนึก TIDC ต่อสู้การหลอกลวงกระเป๋าเงินคริปโตด้วย AI
ประกันภัย - ประกันชีวิต
วิริยะประกันภัย ผนึก AUTO1 - Evolt มอบสิทธิพิเศษช่วงสงกรานต์
รถยนต์
Autoclik ชวนตรวจเช็กรถฟรี 37 รายการ ก่อนเดินทางสงกรานต์
ท่องเที่ยว
SCB EIC หวั่น Aftershock สะเทือนท่องเที่ยวไทย
อสังหาริมทรัพย์
ORN โชว์ยอดขายเชียงใหม่-ภูเก็ตทะลุ 1.5 พันลบ.
การตลาด
JUBILE เปิดบูติกโฉมใหม่ “The New Era of Jubilee Diamond”
CSR
LIMIX ผนึก TIDC ต่อสู้การหลอกลวงกระเป๋าเงินคริปโตด้วย AI
Information
BAM จัดกิจกรรม “สงกรานต์สืบสานประเพณีไทย ร้อยดวงใจพี่น้องชาว BAM”
Gossip
SNNP ปล่อยโฆษณาชุดใหม่ อัพยอดขาย
Entertainment
ไทยประกันชีวิต จัดแคมเปญวิ่ง “PASSION FOR LIFE”
สกุ๊ป พิเศษ
NER ปี 68 ดันยอดขาย 5 แสนตัน
SCB CIO แนะทยอยสับเปลี่ยนเข้าลงทุนหุ้น Defensiveสหรัฐฯ
2023-06-22 18:39:46
228
sharer
นิวส์ คอนเน็คท์ - SCB CIO มองแนวโน้มดอกเบี้ยธนาคารกลางหลักใกล้หยุดขึ้น แต่ยังไม่ปรับลง และคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป คาดว่าจะถดถอยแบบไม่รุนแรง ส่วนกลุ่มตลาดเกิดใหม่เอเชีย เศรษฐกิจฟื้นตัวต่ำกว่าคาด แนะนำทยอยสับเปลี่ยนเข้าหุ้นกลุ่ม Defensive สหรัฐฯ รวมถึงหุ้นจีน A-Share และหุ้นไทย ที่มูลค่ายังน่าสนใจ
เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2566 ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า ธนาคารกลางหลักส่งสัญญาณใกล้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ส่วนการลดดอกเบี้ยเป็นเรื่องของปีหน้า โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอตัว แต่เงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังต้องคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูง 5.5% ในปี 2566 ขณะที่ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อ ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต้องเริ่มส่งสัญญาณปรับนโยบายการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve Control) หลังเงินเฟ้อยังสูงขึ้น ด้านธนาคารกลางจีน (PBOC) และธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) เริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลัง หลังเศรษฐกิจฟื้นแต่ช้ากว่าคาด
ทั้งนี้ SCB CIO มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป ชะลอตัวและอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยแต่จะไม่รุนแรง โดยในส่วนของ เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอลงชัดเจน แต่ตลาดแรงงานเป็นเครื่องจักรหลักที่ทำให้เศรษฐกิจอาจถดถอยแต่ไม่รุนแรง โดยล่าสุด Fed ปรับลดคาดการณ์อัตราการว่างงานปี 2566 ลงจาก 4.5% เป็น 4.1% ขณะที่ เศรษฐกิจยุโรปเริ่มมีสัญญาณแผ่วลง หลังเศรษฐกิจเยอรมันเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคในช่วงไตรมาส 1/2566 จากอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่สูงต่อเนื่อง
ขณะที่ เศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (EM Asia) แม้การฟื้นตัวช้ากว่าคาดในช่วงครึ่งแรก แต่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจจีนช่วงที่ผ่านมาฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึงและช้ากว่าคาด แต่ล่าสุดภาครัฐเริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินด้วยการลดดอกเบี้ย และมีแนวโน้มผ่อนคลายมาตรการการคลังเพิ่มเติมอีก ส่วนเศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องจากการบริโภคและภาคบริการ แม้ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังกดดันการลงทุน ด้านเศรษฐกิจเวียดนามยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าจากการหดตัวของภาคการส่งออก และการฟื้นตัวช้าของภาคอสังหาริมทรัพย์
สำหรับปัจจัยความเสี่ยงที่ต้องระวัง คือ ในกรณีเลวร้าย (worse case scenario) เชื่อว่าปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยรุนแรงกว่าที่คาด คือ เงินเฟ้อมีแนวโน้มยืดเยื้อ จนทำให้ Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 และอาจลุกลามส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะ EM Asia ที่พึ่งพาการส่งออกค่อนข้างมาก ซึ่ง SCB CIO คาดว่าจะทำให้ธนาคารกลางส่วนใหญ่ที่มีการกำหนดขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) ไว้อยู่แล้ว จะสามารถลดดอกเบี้ยได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ จากเดิมที่ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/2566 SCB CIO แนะนำวางกลยุทธ์ลงทุนตั้งรับเศรษฐกิจถดถอยด้วยพันธบัตรรัฐบาล พร้อมลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโต(Growth) ของสหรัฐฯ และหุ้นยุโรป หลังมูลค่าเริ่มตึงตัวแล้ว โดยแนะนำให้สับเปลี่ยนเงินลงทุนเข้าไปยังหุ้นกลุ่มเชิงรับ (Defensive) ในสหรัฐฯ รวมถึงเพิ่มสัดส่วนหุ้น EM Asia โดยเน้นหุ้น จีน A-share และหุ้นไทย ที่มูลค่ายังน่าสนใจ
โดยมองการตั้งรับเศรษฐกิจชะลอตัวด้วยการทยอยสะสมพันธบัตรรัฐบาล โดยยังคงมุมมองว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้าจากเงินเฟ้อที่ชะลอ การหยุดขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังปี 2566 และมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งแรกปี 2567 แต่ปรับมุมมองในหุ้นกู้คุณภาพสูง (IG) ลงเป็น Neutral จากความเสี่ยงด้านส่วนต่างของผลตอบแทน (spread) ของหุ้นกู้กลุ่มที่อยู่ในระดับลงทุนได้ (Investment Grade) ระดับกลาง หรือ medium grade (A+ ถึง BBB-) ที่จะถูกกระทบจากความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย
ในส่วนของหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป เราแนะนำให้ปรับลดสัดส่วน เนื่องจากมูลค่าเริ่มตึงตัวแล้ว โดยถึงแม้แม้ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลง แต่หุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นเติบโตในกลุ่มเทคโนโลยี มีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมาจนมูลค่า S&P500 (fwd P/E 19.1x; +0.1 sd) ปรับเพิ่มขึ้นมาก และ Nasdaq100 (fwd P/E 26.5x; +1.0 sd) เริ่มตึงตัว รวมถึงหุ้นยุโรป (fwd P/E 12.5x; -1 sd) ที่ในระยะข้างหน้าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลกำไรมีโอกาสได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อและดอกเบี้ยสูงที่ยืดเยื้อ จึงแนะนำสับเปลี่ยนเข้าลงทุนหุ้นกลุ่ม Defensive ในสหรัฐฯ ที่มีผลกำไรแข็งแกร่ง แม้ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงมูลค่ายังน่าสนใจ เช่น กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน หรือ Utilities (fwd P/E 17x; -1.1 sd) และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต หรือ Consumer staples (fwd P/E 19.7x; ค่าเฉลี่ย 5 ปี)
นอกจากนี้ ยังแนะนำให้เพิ่มหุ้น EM Asia เน้น จีน A-share (มุมมอง Positive) และหุ้นไทย (มุมมอง Slightly Positive) ที่มูลค่ายังน่าสนใจ โดยในส่วนของหุ้นจีน A-Share นอกจากการฟื้นตัวของผลประกอบการ ยังมีทิศทางการผ่อนคลายนโยบายการเงินเป็นอีกปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นจีนที่มีมูลค่าค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับในอดีต (fwd P/E 11.3x; -0.5 sd) และเมื่อเทียบกับ MSCI world (fwd P/E เปรียบเทียบกันหุ้นจีน discount -1 sd) สำหรับหุ้นไทย แม้จะยังได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่จากแนวโน้มเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของการท่องเที่ยว ภาคบริการและการจ้างงาน เรายังคงแนะนำทยอยสะสมหุ้นไทย (fwd P/E 15.3x; -0.5 sd) ที่ยังมีมูลค่าถูกกว่าตลาดหุ้นอื่นในอาเซียน
อย่างไรก็ตาม ควรกระจายเงินลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedge) จากเงินเฟ้อที่อาจยืดเยื้อ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risks) โดยจากการวิเคราะห์ของเรา พบว่า การมีสินค้าโภคภัณฑ์เป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตลงทุน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนได้ ซึ่งสัดส่วนที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 5%-10% ตามความเสี่ยงที่รับได้ นอกจากนี้ ในช่วงที่เงินเฟ้อสูงมากกว่าตลาดคาด หุ้นและพันธบัตรมักจะมีการเคลื่อนไหวแปรผันตามกัน (correlation เป็นบวก) ขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์จะเคลื่อนไหวไม่สัมพันธ์กับ หุ้น รวมถึงพันธบัตร (correlation เป็นลบ) ดังนั้น จึงทำหน้าที่กระจายความเสี่ยงได้ดี
NL รับมาตรฐานสากล “ISO 14001:2015” และ “ISO 45001:2018”
INET ย้ำ ศูนย์ปฏิบัติการข้อมูล ปลอดภัยจากแผ่นดินไหว
PTG คาดปี 68 กำไรเติบโต 12% - ORN Q1/68 ยอดขาย 1,572 ลบ.
WSOL รีเซ็ต ‘SABUY’ ทั้งระบบ ลุยสางหนี้ - ฟื้นธรรมาภิบาล
ดัชนีหุ้นไทยเดือน มี.ค. ปรับลดลง 3.8%
TEGH โบรกฯ เชียร์ 'ซื้อ' คงเป้า 5 บ. - NER คว้า CAC ระดับ 3 ดาว ตอกย้ำ! องค์กรโปร่งใส