Phones
หน้าแรก
Stock
เศรษฐกิจมหภาค
แบงก์ - Finance
อสังหาริมทรัพย์ - Marketing
ประกัน - ท่องเที่ยว
Variety
สกู้ป พิเศษ
SET
BBL กำไรโค้งแรกโต 20% รายได้ดอกเบี้ย-ค่าฟีพุ่ง
MAI
DOD ส่งซิก ปั้นรายได้รวมปี 68 แตะ 800 ล้านบ. ลุ้นจ่ายปันผล
IPO
‘BKA’ ฮอต หุ้น IPO 60 ล้านหุ้น ขายเกลี้ยง
บล./บลจ
Webull ส่ง ‘Daily Interest’ รับมือตลาดผันผวน
เศรษฐกิจ-การเงิน-การคลัง
BAY ชี้เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่า จับตาบอนด์สหรัฐ
การค้า - พาณิชย์
บสย. โชว์ผลงานไตรมาส 1/68 ลุยปลดล็อก SMEs
พลังงาน - อุตสาหกรรม
RT ผนึก กรมโยธาฯ ตรวจสอบอาคารในกรุงเทพฯ
คมนาคม - โลจิสติกส์
WSOL ส่ง SABUY Speed ชิงส่วนแบ่งตลาดขนส่ง 5%
แบงก์ - นอนแบงก์
KBANK ขยายบริการ QR สแกนจ่ายผ่าน K PLUS ตั้งเป้าธุรกรรมโต 9 เท่า
ไฟแนนซ์ - ลิสซิ่ง
‘กรุงศรี มอเตอร์ไซค์’ ครองแชมป์สินเชื่อสองล้อ ดันยอดสินเชื่อโต 10%
SMEs - Startup
KBTG ร่วมสนับสนุนโครงการ AHA ของ MIT Media Lab
ประกันภัย - ประกันชีวิต
“เมืองไทยประกันชีวิต” คลอดแคมเปญ “ShieldLife”
รถยนต์
GPI ลุยธุรกิจใหม่จัดอีเวนต์ด้าน Sport สู่กลุ่มเด็ก
ท่องเที่ยว
SCB EIC หวั่น Aftershock สะเทือนท่องเที่ยวไทย
อสังหาริมทรัพย์
“อรสิริน” ได้ฤกษ์มงคล ลงเสาเอก “อะไรซ์ ไวบ์ ภูเก็ต”
การตลาด
CardX ลุยช่วยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว
CSR
KBTG ร่วมสนับสนุนโครงการ AHA ของ MIT Media Lab
Information
วิริยะประกันภัย สนับสนุนน้ำดื่มบริการประชาชนแก่ กทพ.
Gossip
TPS เชิญประชุม ผถห. รูปแบบออนไลน์
Entertainment
ไทยประกันชีวิต จัดแคมเปญวิ่ง “PASSION FOR LIFE”
สกุ๊ป พิเศษ
"กองทุนรวม Thai ESGX" โอกาสลงทุนใหม่ เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี
KBank Private Banking ชี้ศก.เปลี่ยนทิศ แนะกระจายการลงทุน บริหารความเสี่ยง
2024-01-16 18:23:22
137
sharer
นิวส์ คอนเน็คท์ - KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier จัดงานสัมมนาในหัวข้อ “Shifting Tides : Economic Dynamics And Portfolio Rebalancing After Rate Hikes” ชี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ หลังการหยุดขึ้นดอกเบี้ยและการทยอยปรับตัวลดลง แนะแบ่งเงินลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวโดยเน้นลงทุนแบบ Risk-based ที่
เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา ตลาดลงทุนเผชิญกับหลายเหตุการณ์ที่สร้างความผันผวน เริ่มตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกที่เสถียรภาพการเงินโลกสั่นคลอน จากการปิดตัวลงของ Silicon Valley Bank (SVB) และวิกฤต Credit Suisse (CS) ในขณะที่ไตรมาส 2 ตลาดปรับตัวขึ้นได้ จากอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่เข้าใกล้จุดสูงสุด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3 เศรษฐกิจจีนไม่สามารถฟื้นตัวได้ตามที่ตลาดคาดหวัง ทำให้ภาพรวมตลาดอ่อนแอลงอีกครั้ง ประกอบกับความไม่แน่นอนของ FED หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ยังไม่ชัดเจนเรื่องอัตราดอกเบี้ยว่าจะหยุดขึ้นหรือจะขึ้นต่อ ตามมาติดๆ ด้วยความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสที่เริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นเดือนตุลาคม ทำให้ตลาดการลงทุนปรับตัวลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ตลาดมีแนวโน้มดีขึ้น ในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม จากการหยุดขึ้นดอกเบี้ยของ FED และส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยในปี 2567 ทำให้ผลตอบแทนสำหรับปี 2566 ของตลาดหุ้นโลกปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 23%
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ KBank Private Banking แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนเพื่อสะสมและต่อยอดความมั่งคั่งในระยะยาว ออกเป็น 2 ส่วนได้แก่ 1.พอร์ตหลัก (Core portfolio) 50-70% โดยเลือกกองทุนผสมแบบ Risk-based approach ที่กระจายความเสี่ยงทั้งในหุ้น ตราสารหนี้ โภคภัณฑ์ รวมทั้งค่าความผันผวน (VIX Index) ที่ใช้หลักการจัดการลงทุนอย่างเป็นระบบ มีกฎเกณฑ์ชัดเจน ไม่ขึ้นกับการคาดการณ์ของตลาดหรือผู้จัดการกองทุน ด้วยกลยุทธ์หลักที่บริหารเชิงรุกและยืดหยุ่นสูง ตามวัฏจักรเศรษฐกิจและดัชนีตลาดที่สำคัญ เพื่อให้พอร์ตโฟลิโอมีความยืดหยุ่น แนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่มีการบริหารเชิงรุกในการจัดดสรรสินทรัพย์และการบริหารความเสี่ยง อย่างกองทุน All Roads Series,
2.พอร์ตเสริม (Satellite portfolio) 30-50% โดยแบ่งการลงทุนในตราสารหนี้ ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตดี โดยเน้นตราสารที่มีอายุคงเหลือยาว จากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยมีความน่าสนใจ และยังมีโอกาสได้กำไรจากส่วนต่างราคาเมื่อ FED ปรับลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ พันธบัตรรัฐบาลถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี หากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว โดยแนะนำกองทุน K-GDBOND และ TUSBOND นอกจากนั้นเสริมพอร์ตด้วยตราสารหนี้ประเภท CoCo Bond ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และให้ผลตอบแทนน่าสนใจ หลังดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ผ่านกองทุน UPINCM-N สำหรับหุ้นกู้ความเสี่ยงสูงหรือกลุ่ม High Yield (HY) อาจมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจชะลอตัวและมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องหลังต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น
ส่วนการลงทุนหุ้น เช่น 1.หุ้นกลุ่ม Growth ทั่วโลก: หลังดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดและจะเข้าสู่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลงย่อมเป็นประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มเติบโตสูง โดยแนะนำกระจายลงทุนทั่วโลก เนื่องจากหุ้นเทคฯ ในสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างมากในปี 2566 โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน K-CHANGE, 2.หุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market): นอกจากจะได้ประโยชน์จากศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นแล้ว ยังได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินทุนที่จะไหลเข้า หลัง FED ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย ทำให้ดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่า เป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน PRINCIPAL VNEQ และ K-INDIA
สำหรับการลงทุนทางเลือก แนะนำกระจายลงทุนในเฮดจ์ฟันด์หลายกลยุทธ์ เช่น 1.กลยุทธ์มหภาค และเทรดตามแนวโน้ม (Trend following) ช่วยสร้างผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยง จากความสามารถในการใช้หลากหลาย Indicators เพื่อ Long/Short สินทรัพย์หลัก ทั้งหุ้น และตราสารหนี้ โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน ASP-LEGACY-UI และ LHMCMULTIUI, 2.กลยุทธ์ซื้อขายสกุลเงินหลักของโลก: โดยพิจารณาจากปัจจัยด้านพื้นฐาน เช่น ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย แนวโน้มเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ ดุลการชำระเงิน รวมทั้งกระแสเงินไหลเข้า – ออก โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน DAOL-FXALPHA-UI
“แม้ตลาดลงทุนยังอยู่กับความผันผวนต่อเนื่อง แต่โดยรวมมีแนวโน้มดูดีขึ้น ดังนั้นยังคงแนะนำให้นักลงทุนให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความผันผวนให้พอร์ต เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว สำหรับลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงของธนาคาร KBank Private Banking สามารถลงทุนในกองทุน ALPHA กองทุนสำเร็จรูป ปรับพอร์ตเชิงรุกทุกสภาวะตลาด กองเดียวจบ เลือกได้ตามเป้าหมายผลตอบแทน เพื่อสะสมความมั่งคั่ง” นายจิรวัฒน์ กล่าว
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ในปี 2567 เศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ราว 3.1% หนุนจากการลงทุนภาครัฐ การบริโกคภาคเอกชน และการส่งออกสินค้าที่คาดว่าขยายตัว 2% รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่น่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30.6 ล้านคน
ทั้งนี้ หากมีมาตรการดิจิทัลวอลเล็ตอาจทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพิ่มเป็น 3.6% อย่างไรก็ตาม มองว่าไทยต้องการเครื่องจักรใหม่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไปสู่ระดับศักยภาพในระยะยาว เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า โอกาสจากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน เป็นต้น
ด้านนายโฮมิน ลี Senior Asia Macro Strategist Lombard Odier (สิงคโปร์) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกจะเติบโตต่อได้ แต่ในอัตราที่ชะลอลง โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถเลี่ยงภาวะถดถอยและขยายตัวช้าลงแบบ Soft landing ด้านเศรษฐกิจยุโรปจะยังคงขยายตัวได้ในระดับต่ำ ขณะที่เศรษฐกิจจีนยังมีความท้าทาย จำเป็นต้องอาศัยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจให้กลับมาเป็นปกติ
ในส่วนของเงินเฟ้อจะลดลงต่อ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป ส่วนเงินเฟ้อจีนจะทรงตัวในระดับใกล้เคียง 1% โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรป ได้หยุดขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วในปี 2566 และจะเริ่มลดดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนมี.ค. 2567 แต่จะไม่ลดลงไปต่ำเท่าระดับก่อนโควิด ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่นจะขึ้นดอกเบี้ยและออกจากยุคดอกเบี้ยติดลบในช่วงไตรมาส 2 ส่วนจีนจะยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
ขณะที่ตลาดจะจับตาเรื่องการเมือง โดยเฉพาะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและประเทศคู่ค้า รวมทั้งความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ในส่วนของเงินลงทุนจะไหลเข้าตลาดตราสารหนี้มากขึ้นเพราะดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงและจะลดลงในปี 2567 ตลาดหุ้นยังมีความท้าทายเพราะผลตอบแทนเทียบกับดอกเบี้ยไม่น่าดึงดูดเท่ายุคดอกเบี้ยต่ำ การหาผลตอบแทนต้องเน้นไปที่การคัดเลือกหุ้นที่โดดเด่น
BBL กำไรโค้งแรกโต 20% รายได้ดอกเบี้ย-ค่าฟีพุ่ง
JMART เคาะดอกเบี้ยหุ้นกู้ชุดใหม่ 5.50% เสริมแกร่งการเงิน
WSOL ยื่นฟ้องลูกหนี้-อดีตผู้บริหาร SABUY กว่า 2,600 ล้านบ.
ASIA ปักธงรายได้ปี 68 โต 10% - SGC ลุย “Lock Phone” เป้าสินเชื่อ 8 พันล.
ASIA ผถห.ไฟเขียวปันผล 0.13 บ. ปักธงรายได้ปีนี้โต10%
SGC ชูธุรกิจ Locked Phone ทะยานโต