Phones





เร่งพลิกโฉม "ธุรกิจประกันภัย" ด้วยนวัตกรรม

2025-09-22 09:49:13 206



นิวส์ คอนเน็คท์ - สมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเวทีแลกเปลี่ยนมุมมองและทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยในหลากหลายมิติ เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในยุคใหม่ ด้วยการสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้บรรยายในเวที Executive Talk ภายใต้หัวข้อ “เร่งสร้างนวัตกรรม สู่การเปลี่ยนผ่านธุรกิจประกันภัยที่ยั่งยืนในโลกใหม่” โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับตัวของภาคธุรกิจประกันภัย ท่ามกลางบริบทของ “โลกใหม่” ซึ่งไม่ใช่เพียงยุคหลังการระบาดของโควิด-19 หากแต่เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี สภาพภูมิอากาศ และพฤติกรรมของผู้บริโภค

โดยโลกในยุคปัจจุบันคือยุคที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภาคธุรกิจประกันภัยจึงต้องขับเคลื่อนนวัตกรรมเชิงรุกในทุกด้าน ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และกระบวนการทางธุรกิจ ไปจนถึงการออกแบบโมเดลธุรกิจใหม่ที่ตอบสนองต่อบริบทดังกล่าว โดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งผู้บริโภคในยุคดิจิทัลมีความคาดหวังว่าทุกขั้นตอนของบริการต้องสามารถดำเนินการผ่านสมาร์ตโฟนได้อย่างไร้รอยต่อ ทั้งการซื้อประกัน การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน และการติดต่อบริการ
ขณะเดียวกัน การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI, Big Data, IoT, Sensor, Robotic และ Blockchain ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานของอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่ในรูปแบบ InsurTech ซึ่งอาจไม่มีสำนักงานแบบดั้งเดิม สามารถแข่งขันได้ในระดับประเทศ ความสามารถในการเข้าใจความเสี่ยงและปรับตัวได้อย่างรวดเร็วจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจยุคใหม่

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งก่อให้เกิดภัยพิบัติที่มีความถี่และความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นทุกปี เช่น น้ำท่วม พายุ ภัยแล้ง และไฟป่า ภาคธุรกิจประกันภัยจึงจำเป็นต้องปรับปรุงโมเดลการประเมินความเสี่ยงใหม่ โดยเฉพาะการพัฒนา Climate Risk Insurance และระบบบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงพื้นที่ เช่น Flood Zoning ที่สามารถนำมาใช้ในการกำหนดเบี้ยประกันภัย เงื่อนไขความคุ้มครอง และการบริหารพอร์ตโฟลิโอของบริษัทประกันภัยได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อประเด็น ESG (Environment, Social, Governance) และความยั่งยืน ไม่ใช่เพียงทางเลือกอีกต่อไป แต่กลายเป็นข้อกำหนดสำคัญในการดำเนินธุรกิจ บริษัทประกันภัยต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และต้องคำนึงถึงผลกระทบที่ผลิตภัณฑ์และบริการมีต่อโลกอย่างรอบด้าน

สำหรับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ ดร.สมพร ชี้ว่า ปัจจุบันลูกค้ามีข้อมูลในมือมากขึ้น สามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพียงแค่ซื้อเพราะเป็นข้อบังคับ แต่ต้องเป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของความเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีความคุ้มค่า และสามารถตอบโจทย์เฉพาะบุคคลได้อย่างแท้จริง นวัตกรรมในด้าน Personalized Insurance จึงมีบทบาทสำคัญอย่างมาก

ดร.สมพร กล่าวสรุปว่า อุตสาหกรรมประกันภัยไทยอยู่ในจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ซึ่งการปรับตัวสู่ความยั่งยืนไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการปรับเฉพาะผลิตภัณฑ์หรือช่องทางการจัดจำหน่ายเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล การบริหารความเสี่ยงที่ทันสมัย และการให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าการขับเคลื่อนนวัตกรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้ระบบประกันภัยสามารถคงบทบาทสำคัญในการบริหารความเสี่ยงเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
นายปิยะพัฒน์ วนอุกฤษฏ์ ประธานคณะกรรมการประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ กล่าวถึงแนวโน้มประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงอายุสมบูรณ์” โดยในปี 2568 คาดว่าจะมีผู้สูงอายุคิดเป็น 21.31% ของประชากรทั้งหมด และเพิ่มขึ้นเป็น 25% ในปี 2573 และสูงถึง 30% ในปี 2583 โดยเฉพาะผู้หญิงที่จะมีสัดส่วนมากกว่าผู้ชาย ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายในการดูแลสุขภาพของประชากรกลุ่มนี้ในอนาคต การเข้าสู่สังคมสูงอายุจะนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่สูงขึ้น ทั้งจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง การเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย และความจำเป็นในการลงทุนด้านสุขภาพอย่างยั่งยืนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากร

ทั้งนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมประกันภัยสุขภาพในปี 2568 คาดว่า GDP ไตรมาส 2 จะเติบโต 2.8% ขณะที่ธุรกิจประกันภัยสุขภาพยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องที่ระดับ 8%-9% โดยมีปัจจัยสำคัญจากอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) ที่คาดว่าจะเพิ่มสูงถึง 14.3% ส่งผลให้ต้นทุนค่ารักษาพยาบาลปรับตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าบริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ย 878 บาทต่อครั้ง หรือกว่า 3,305 บาทต่อรายต่อปี รวมถึงค่าบริการผู้ป่วยในเฉลี่ยกว่า 20,445 บาทต่อราย สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความจำเป็นในการวางแผนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพที่เหมาะสม ทั้งด้านความคุ้มครองและความยั่งยืน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและรองรับความเสี่ยงทางสุขภาพในอนาคต