Phones





ไทยพาณิชย์ยกระดับ ‘SCBFM’ จัดเต็ม 5 ผลิตภัณฑ์ รับมือค่าเงินผันผวน

2025-06-11 18:22:13 141



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - ไทยพาณิชย์ กางแผนธุรกิจกลุ่มงานตลาดการเงิน พลิกโฉมจากผู้นำด้านอัตราแลกเปลี่ยนสู่บทบาท “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทางการเงิน” ชู 5 ผลิตภัณฑ์และบริการหลัก ครอบคลุมการบริหารความเสี่ยง สร้างโอกาสการลงทุน และสร้างความมั่งคั่ง นำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
 
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function และ Head of Private Banking Relationship Management ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า กลุ่มงานตลาดการเงิน หรือ SCB Financial Markets (SCBFM) ทำหน้าที่แนะนำผลิตภัณฑ์และบริการที่ช่วยบริหารความเสี่ยงให้แก่ลูกค้าธุรกิจ โดยมีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นในธุรกิจอัตราแลกเปลี่ยน (FX) อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินมีความท้าทายสูงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้าที่กดดันภาคธุรกิจของไทย
 
ขณะที่ล่าสุดคือ ความไม่แน่นอนของมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้า (Tariffs) จากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่มีผลกระทบการดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ จึงเห็นภาพของค่าเงินบาทที่ผันผวนสูง โดยบางช่วงเงินบาทเปลี่ยนแปลงถึง 30-40 สตางค์ในช่วงข้ามคืน ด้วยบริบททางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว SCBFM จึงปรับบทบาทให้เข้มข้นขึ้นสู่การเป็น “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทางการเงิน” ให้กับลูกค้าธุรกิจ นักลงทุนสถาบันและลูกค้ารายย่อย ครอบคลุมทั้งด้านการบริหารความเสี่ยง การลงทุน และการเติบโตในตลาดโลก เพื่อสะท้อนถึงความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น สร้างโอกาสการลงทุนและสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
 
ทั้งนี้ ภายใต้บทบาท “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทางการเงิน” ให้กับลูกค้าธุรกิจ นักลงทุนสถาบันและลูกค้ารายย่อย SCB Financial Markets นำเสนอ 5 ผลิตภัณฑ์และบริการหลัก ประกอบด้วย 1.ธุรกิจอัตราแลกเปลี่ยน (FX) และเครื่องมือบริหารความเสี่ยง อาทิ FX Forward และ FX Options ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจของลูกค้า โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงด้านค่าเงินจากการค้าระหว่างประเทศ, 2.การขยายผลิตภัณฑ์ FX และคู่สกุลเงินใหม่ เพื่อรองรับสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ของประเทศปลายทาง สำหรับลูกค้าที่กำลังขยายธุรกิจในระดับภูมิภาคและตลาดเกิดใหม่, 3.ช่องทางดิจิทัล อาทิ FX Online และ FX API ที่สามารถเชื่อมต่อธุรกรรม FX เข้ากับระบบ Treasury ของลูกค้าได้โดยตรง เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศ และ การซื้อขายพันธบัตรในตลาดรอง (Secondary Bond) ผ่านแอป SCB Easy เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนให้กับลูกค้ารายย่อย
 
4.ผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบ Structured Notes ที่ออกแบบโดยอิงกับหลากหลายสินทรัพย์ อาทิ ค่าเงิน หุ้น และอัตราดอกเบี้ย เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายผลตอบแทนและระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันของลูกค้า และ 5.บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-FCD) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสภาพคล่องและต้นทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
 
“การบริหารความเสี่ยงด้วย FX อาจจะไม่เพียงพอในการเติมเต็มโอกาสให้แก่ ลูกค้าธุรกิจ นักลงทุนสถาบันและลูกค้ารายย่อย SCB Financial Markets จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นการสร้างผลตอบแทนที่ยอมรับได้ เพื่อบริหารสภาพคล่องให้กับธุรกิจ ผสานกับศักยภาพทางเทคโนโลยีดิจิทัลภายใต้กลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ซึ่งทั้ง 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการ และเรามีแผนเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันผ่านตลาด TFEX เพื่อเพิ่มทางเลือกในการบริหารความเสี่ยงให้กับลูกค้ารายย่อย รวมถึงการนำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และการแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านเครื่องมือทางการเงินที่ทันสมัย ปลอดภัย และครอบคลุมในทุกมิติของโลกการเงินยุคใหม่” นายแพท ทริก กล่าว
 
ด้านนายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เงินบาทในปีนี้ยังคงผันผวนสูง โดยในปีนี้เงินบาทเคยอ่อนค่าไปแตะระดับสูงสุดที่ราว 35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่จะกลับมาแข็งค่าแตะระดับต่ำสุดที่ราว 32.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเปลี่ยนแปลงถึง 7.4% ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน ความผันผวนนี้มาจากทั้งปัจจัยต่างประเทศและในประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูงต่อเนื่อง
 
โดยเงินบาทที่กลับมาแข็งค่า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะยังอ่อนแอและมีแนวโน้มโตชะลอลงในปีนี้ เป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก ซึ่งเทรนด์ตลาดการเงินโลกเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดวัฏจักรการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมาตรการกีดกันทางการค้าเป็นปัจจัยที่เริ่มทำให้นักลงทุนหันมาพิจารณาภาวะการลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ เพราะการขึ้นภาษีนำเข้าและมาตรการกีดกันต่าง ๆ ทำให้ความไม่แน่นอนสูงขึ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อการกำกับดูแล (Governance) และการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในระยะยาว ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาและอาจส่งผลให้เศรษฐกิจอ่อนแอลงในระยะสั้น ดังนั้น จึงเห็นนักลงทุนมีความสนใจต่อการลงทุนในสหรัฐฯ น้อยลง
 
นอกจากนี้ มาตรการทางการคลังที่ทรัมป์เตรียมผลักดันออกมา ทั้งการใช้จ่ายภาครัฐที่มากขึ้น และการลดภาษี ทำให้นักลงทุนโลกกังวลว่าภาครัฐอาจขาดดุลการคลังมากขึ้น ทำให้อาจสูญเสียเสถียรภาพทางการคลังได้ จึงยิ่งทำให้นักลงทุนต้องการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงออกจากสินทรัพย์สหรัฐฯ จึงพบว่าเริ่มมีเงินไหลออกจากสหรัฐฯ ไปสู่กลุ่มประเทศยุโรป รวมทำกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (EM-Asia) มากขึ้น เงินดอลลาร์สหรัฐจึงอ่อนค่าลง ทำให้เงินภูมิภาครวมถึงเงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยสัญญาณที่เป็นตัวสะท้อนทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้ายนี้คือ การไหลเข้าของเงินทุนเคลื่อนย้ายสู่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทยในเดือนที่ผ่านมา
 
ทั้งนี้ เงินบาทจะยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าต่อเนื่องในปีนี้ เนื่องจาก 1. เทรนด์การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐน่าจะดำเนินไปต่อเนื่องอย่างน้อยในปีนี้ โดยนักลงทุนโลกยังต้องการลด Concentration risk ในสินทรัพย์สหรัฐฯ ผ่านการขายสินทรัพย์สหรัฐฯ ออกบางส่วน ทำให้เงินทุนอาจไหลออกจากสหรัฐฯ และดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อ, 2. ข้อตกลงการค้าของสหรัฐฯ อาจพ่วงเงื่อนไขทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้ โดยถึงแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะปฏิเสธข่าว แต่มักพบว่าในเวลาที่มีข่าวการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศเอเชีย มักมีการพูดถึงการแทรกแซงค่าเงินร่วมด้วย ซึ่งมักเห็นเงินเอเชีย เช่น เงินไต้หวันดอลลาร์ เงินเกาหลีวอน แข็งค่าขึ้นในช่วงดังกล่าว ดังนั้น ประเด็นนี้อาจเป็นแรงกดดันเพิ่มเติมที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในระยะกลางถึงยาวได้
 
3. สงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงน้อยลง และมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ทำให้เงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ จึงทำให้เงินบาทที่มีความสัมพันธ์กับเงินหยวนค่อนข้างสูงเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าน้อยลงตามไปด้วย และ 4. ราคาทองที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง จะเป็นแรงหนุนต่อการแข็งค่าของเงินบาทต่อไปได้
 
อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินบาทจะยังไม่มากนัก และอาจแข็งค่าน้อยกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาคได้ เนื่องจากที่ผ่านมาสัดส่วนลงทุนต่างประเทศของไทยยังต่ำ ทำให้แนวโน้มการนำเงินกลับเข้าไทย (Repatriation flows) อาจจะมีน้อย โดยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลี หรือมาเลเซีย จะพบว่ามูลค่าการถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศ (หุ้นและพันธบัตร) ของไทยยังต่ำกว่ามาก จึงทำให้โอกาสที่จะมี Repatriation มากดดันให้เงินบาทแข็งค่านั้นมีน้อย นอกจากนี้ ความสนใจของนักลงทุนต่างชาติต่อสินทรัพย์ไทยก็ยังมีไม่มากนัก สะท้อนจากสัดส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยของนักลงทุนต่างชาติ โดยพบว่ามีนักลงทุนต่างชาติถือครองเพียงราว 9.8% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค อีกทั้ง สัดส่วนพันธบัตรรัฐบาลไทยในดัชนี JPMorgan Government Bond Index-Emerging Markets ยังถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ 8.8% จึงทำให้แนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายที่จะไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย อาจไหลเข้าไทยไม่มากนัก โดยมองกรอบเงินบาทที่ราว 31.50-32.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปีนี้
 
สำหรับประเด็นที่ต้องจับตาในช่วงนี้ คือ คำพิพากษาของศาลการค้าสหรัฐฯ เกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าที่ทรัมป์ได้ดำเนินไป โดยศาลพิจารณาว่าการดำเนินมาตรการไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยื่นอุทธรณ์ไป ทำให้มาตรการยังมีผลบังคับใช้อยู่ในช่วงสั้น ๆ ซึ่งประเด็นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงด้านการอ่อนค่าของเงินบาทได้ เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ อาจจำเป็นต้องใช้กฎหมายมาตราอื่นเพื่อกลับมาขึ้นภาษีนำเข้า เช่น มาตรา 122 ที่มีเงื่อนไขว่ารัฐบาลจะไม่สามารถขึ้นภาษีนำเข้าสูงกว่า 15% ได้ หรือมาตรา 301 ซึ่งต้องใช้เวลาในการตรวจสอบประเทศคู่ค้านาน และอาจทำให้ต้องเลือกพุ่งเป้าไปที่ประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ ก่อน ด้วยเหตุนี้ จึงมองว่า เงินบาทอาจอ่อนค่าได้ไม่มากนักแม้ไทยจะถูกประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม โดยให้จับตาช่วงเดดไลน์ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ที่อาจเห็นแรงกดดันทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้ โดยมองกรอบเงินบาทในระยะสั้น (1-2 เดือนนี้) ที่ราว 32.30-33.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ