Phones





PEACEเดินหน้าลุย3โครงการใหม่

2021-12-14 18:16:57 1198



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - PEACE ชูคอนเซปต์ ‘Prosperous Living with PEACE’ มอบประสบการณ์การใช้ชีวิตเพียบพร้อมและสงบสุขกับผู้อยู่อาศัย พร้อมนำความร่มรื่นมาสู่ใจกลางเมืองด้วยการจัดการที่มีประสิทธิภาพ และหัวใจที่เข้าใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง รุกสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนให้แบรนด์สินค้า พร้อมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่รับเศรษฐกิจฟื้นตัว 
 
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 นายประสพศักดิ์ ศิริโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE เปิดเผยว่า บริษัทเน้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ อาทิ บ้านเดี่ยวระดับสูง และทาวน์โฮมแบบ 2 ชั้น และ 3 ชั้น ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภายใต้แบรนด์ “The Glamor” “Cordiz” และ “Cher” และแบรนด์ใหม่ล่าสุด คือ “Cherene” และ “CHEREA VICINITY” โดยแต่ละโครงการได้ออกแบบสไตล์โมเดิร์น เน้นบรรยากาศร่มรื่น สงบ มีความเป็นส่วนตัว การเดินทางสะดวกสบาย ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก บนทำเลที่ดีตอบโจทย์การใช้ชีวิต ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่อย่างแท้จริง ภายใต้วิสัยทัศน์ขององค์กร คือ การประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์สินค้า ให้สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน คู่ค้า เพื่อให้ทุก ๆ ส่วนได้รับประโยชน์ที่ดีอย่างที่ควร
 
ขณะที่สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ก่อให้เกิดแนวทางดำเนินชีวิตในรูปแบบใหม่ (New normal) รวมถึงแนวทางการทำงานที่บ้าน หรือ Work from Home ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างชัดเจน ส่งผลให้ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน มักมองหาบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ที่มาพร้อมกับฟังก์ชันในด้านต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยจริง ทั้งในเรื่องหลักอย่าง โลเคชั่น พื้นที่ใช้สอย ดีไซน์ และราคาที่เหมาะสม ส่งผลให้ลูกค้าซื้อที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม เป็นต้น ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าที่อยู่อาศัยประเภทแนวสูงและมีพื้นที่แยกเป็นสัดส่วนมากกว่า
 
นอกจากนี้ ปัจจัยบวกจากนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาลทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจขยายตัว เอกชนเดินเครื่องธุรกิจเกิดการจ้างงาน ส่งผลให้รายได้ครัวเรือนดีขึ้น มีความมั่นคงในอาชีพ และการผ่อนคลายมาตรการ LTV เป็นการปลดล็อกตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้กลับมาคึกคักขึ้น เนื่องจากลูกค้าสามารถกู้ซื้อบ้านได้เต็มมูลค่า ส่งผลให้ประชาชนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย สามารถกู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบถือเป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือ Real Demand และเป็นการซื้อบ้านหลังแรกเป็นส่วนใหญ่ จึงได้รับผลกระทบน้อยกว่าคอนโดมิเนียม
 
นายโดม ศิริโสภณา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาดและการขาย (CMO) บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นอย่างมาก โดยฝ่ายการตลาดและการขายจะทำการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลภาวะอุตสาหกรรมและวิจัยตลาดอย่างสม่ำเสมอ (Market Research) เพื่อให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของภาวะอุตสาหกรรม สภาวะตลาด การแข่งขันในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต เพื่อเข้าถึงข้อมูลกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ความต้องการของผู้บริโภคและความเป็นไปได้ของโครงการ
 
นอกจากนี้ หน่วยงานวิจัยตลาดจะทำการลงสำรวจพื้นที่เป้าหมายจริง รวมทั้งเก็บข้อมูลนำมาเป็นข้อมูลประกอบการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์และสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า และที่ผ่านมา บริษัทได้เริ่มใช้สื่อประชาสัมพันธ์รูปแบบใหม่ เช่น สื่อออนไลน์ Facebook บทความในเว็บไซต์เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในวงกว้าง และกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  
 
ทั้งนี้ โครงการของ PEACE ได้พัฒนาและออกแบบบ้านที่ทันสมัยด้วยระบบสมาร์ทโฮม (Smart Home) ที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ และระบบภายในบ้าน ผ่านแอปพลิเคชัน พัฒนาระบบบริหารนิติบุคคลบ้านจัดสรรแบบ Smart Community ช่วยให้ลูกบ้านสามารถจัดการการซ่อมแซมบ้านหรือแจ้งปัญหาต่างๆ ได้ผ่านแอปพลิเคชัน รวมถึงศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยนำเทคโนโลยีการก่อสร้างแบบใหม่มาใช้เพื่อบริหารจัดการงานก่อสร้างและบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพเโดยเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 
 
อย่างไรก็ตาม นับจากอดีตถึงปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการมาแล้วรวมทั้งสิ้น 25 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 16,569 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายการปิดการขายโครงการ ภายใน 2 – 3 ปี สำหรับโครงการที่มีจำนวนยูนิตไม่เกิน 200 ยูนิต  และภายใน 3 – 5 ปี สำหรับโครงการที่มีจำนวนยูนิตมากกว่า 200 ยูนิต โดย ณ วันที่ 30 ก.ย.64 บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 7 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,717 ล้านบาท มียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) 600 ล้านบาท และมีแผนโครงการในอนาคต 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3,045 ล้านบาท