Phones





KBank Private Bankingแนะ 10 กลยุทธ์การลงทุนปี 65

2021-12-15 20:05:50 528



 
 
นิวส์ คอนเน็คท์ - KBank Private Banking โชว์ผลงานที่ปรึกษาด้านการลงทุน ในการสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนของลูกค้าท่ามกลางสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน พร้อมโชว์ 18 กองทุนที่มีผลตอบแทนเป็นบวก จาก 25 กองทุนที่แนะนำในพอร์ต K-ALPHA กับ 3 ธีมลงทุนเด่น
 
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2564 นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ ไพรเวท แบงกิ้ง กรุ๊ป เฮด (Private Banking Group Head) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ตลาดการลงทุนตลอดปี 64 ไม่สดใสเท่าที่ควร หลังตลาดหุ้นโลกรีบาวด์แรงไปแล้วในช่วงไตรมาส 2-4 ของปี 63 ซึ่งตลาดลงทุนอ่อนไหวต่อข่าวสาร และสถานการณ์ความไม่แน่นอนมากขึ้น จากแนวโน้มที่ตลาดปรับตัวแบบ Bumpy Bend หรือมีการปรับขึ้นลงในกรอบแคบๆ และมีความผันผวนสูง
 
ขณะที่ตลาดหุ้นโลกโดยรวมก็ยังปรับตัวขึ้นได้จากแรงหนุนของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตดี ล่าสุดตลาดก็กลับมาตื่นตระหนกอีกครั้ง จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ส่งผลให้ราคาหุ้นทั่วโลกปรับลดลง อย่างไรก็ดี ตลาดฝั่งประเทศพัฒนาแล้วอย่างยุโรปและสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น จากสาเหตุหลักที่ว่าแม้ว่าโอมิครอนจะแพร่ระบาดได้ง่ายแต่อาการไม่รุนแรง
 
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ธนาคารได้แนะนำให้กระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เช่น กองทุนหุ้นนอกตลาด (Private Equity) ซึ่งให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึง +17.5% ต่อปี ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในช่วงกลางปี 63 รวมถึงแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ควบอนุพันธ์ (KIKO) ที่อ้างอิงกับตะกร้าหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงถึง 12-23% ต่อปี ในกรณีที่หุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ 
 
นอกจากนี้ ธนาคารยังคงเชื่อมั่นในกลยุทธ์การลงทุนด้วยหลักการกระจายความเสี่ยงทั้งใน Core และ Satellite โดย 18 จาก 25 กองทุนที่แนะนำให้ลูกค้าลงทุนใน K-ALPHA สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น แบ่งเป็น 4 จาก 5 ใน Core port ที่เน้นกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์หลักทั่วโลก และจัดสรรการลงทุนแบบคำนึงถึงความเสี่ยง รวมทั้งยังมี 14 จาก 20 กองทุนใน Satellite นำโดย 3 ธีมการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น ได้แก่  
 
1.Winner of the new economy เช่น กองทุน K-CHANGE (+11.9%) ลงทุนในบริษัทที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ตามเป้าหมายของ UN, กองทุน K-HIT (+18.8%) ลงทุนในธุรกิจแห่งโลกอนาคตที่ได้รับอิทธิพลจาก Megatrends และ กองทุน ONE-UGG (+6.4%) ลงทุนในธุรกิจที่มีนวัตกรรมหรือการปรับตัวเพื่อตอบรับกับผู้บริโภคในอนาคต 
 
2.Policy Driven for Better World เช่น กองทุน K-CLIMATE (+14.3%) ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการช่วยลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกองทุน K-GINFRA (+9.5%) ลงทุนในภาคอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ ที่ได้รับอานิสงค์จากแผนการพัฒนาโครงสร้างครั้งใหญ่ของประธานาธิบดีไบเดน
 
3.Laggard & Cyclical Upturn เช่น กองทุน K-EUROPE (+28.8%) ลงทุนในหุ้นยุโรปที่มีโอกาสเติบโตสูง เช่น กลุ่มเทคโนโลยี และ เฮลท์แคร์, กองทุน K-EUSMALL (+23.0%) ลงทุนในบริษัทขนาดเล็กในตลาดยุโรป เช่น ภาคอุตสาหกรรม การเงิน อุปโภคบริโภค และเทคโนโลยี, กองทุน ONE-GLOBFIN (+17.6%) เน้นกระจายการลงทุนหุ้นในกลุ่มการเงินที่มีคุณภาพทั่วโลก และกองทุน K-JP (+10.0%) เน้นลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นโดยไม่จำกัดขนาดและหมวดอุตสาหกรรม
 
สำหรับในปี 65 ธนาคารแนะนำ 10 กลยุทธ์การลงทุน ได้แก่ 1.เพิ่มเงินสดในพอร์ตเพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาดที่สูงขึ้น จากความไม่แน่นอน โดยเฉพาะทิศทางการดำเนินนโยบายของ FED ท่ามกลางราคาของหลายๆ สินทรัพย์ที่เริ่มตึงตัว หากตลาดมีการปรับฐานก็สามารถใช้โอกาสการเข้าซื้อในราคาที่ต่ำลง, 2.ลดสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง เนื่องจากให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ ไม่สามารถชดเชยราคาที่จะถูกกดันจากบอนด์ยีลด์ขาขึ้นได้
 
3.ตลาดหุ้นยังน่าสนใจลงทุน หนุนโดยกำไรสุทธิที่ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง, 4.แนะนำลงทุนในหุ้นที่มีราคาถูกกว่าปัจจัยพื้นฐาน หรือ หุ้น Value หรือหุ้นที่เคลื่อนไหวตามวัฏจักรหรือ หุ้น Cyclical เช่น กลุ่มการเงิน ที่ราคาพื้นฐานยังคงน่าสนใจ, 5.ลงทุนในหุ้นกู้ตลาดเกิดใหม่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะในเอเชีย ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ในประเทศพัฒนาแล้ว
 
6.ประเมินค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะแข็งค่าขึ้น สวนทางกับค่าเงินยูโร, 7.ลดสัดส่วนการลงทุนในทองคำ เพราะอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่สูงขึ้นจะกดดันราคาทองคำ, 8. เน้นกลยุทธ์การลงทุนแบบเชิงรุก (Active) มากกว่าลงทุนตามดัชนี (Passive) โดยปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างสม่ำเสมอตามสภาวะตลาด, 9.ความผันผวนถือเป็นโอกาสในการลงทุน และ 10.การลงทุนแบบยั่งยืน (Sustainability) เป็นกุญแจสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นให้กับพอร์ตการลงทุน
 
สำหรับการดำเนินธุรกิจ KBank Private Banking ในปี 64 ยังเติบโต โดยมีจำนวนลูกค้าประมาณ 13,000 ราย สินทรัพย์ภายใต้การจัดการทั้งหมดประมาณ 9 แสนล้านบาท ซึ่งขยายตัวจากปี 63 ที่ 3% และ 6% ตามลำดับ ภายในสิ้นปี 64 คาดว่าจะมีสินทรัพย์ลงทุนรวมประมาณ 5 แสนล้านบาท หรือประมาณ 68% โดยเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและมีความซับซ้อน (Sophisticated asset) ถึง 1.5 แสนล้านบาท เติบโตจากปี 63 ถึง 16% และคาดว่ารายได้ในส่วนของค่าธรรมเนียมการลงทุนจะเติบโตถึง 27%
 
ขณะที่ในปี 65 ธนาคารยังคงสานต่อกลยุทธ์ 3S ต่อเนื่อง โดยมี 2 พันธกิจสำคัญ คือ 1) การส่งมอบบริการที่ครบถ้วนและคำปรึกษาการลงทุนเพื่อพาพอร์ตลงทุนลูกค้าเติบโตอย่างยั่งยืน 2) นำความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน ผลักดันและส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และ สังคม ผ่านกลยุทธ์ 3S ได้แก่ S แรก-New S-Curve เปิดโอกาสต่อยอดความมั่งคั่งให้กับลูกค้า จากผลสำรวจโดย Lombard Odier พบว่า HNWIs มีความกังวลต่อการลงทุนในยุค Post COVID-19 เป็นโอกาสสำคัญให้ธนาคารนำเสนอการลงทุนทางเลือก อย่างการลงทุนในธุรกิจแห่งอนาคตผ่านทางกองทุนรวมและหุ้นนอกตลาด
 
ขณะที่ S ที่สอง-Sustainability แนะนำการลงทุนด้วยเป้าหมายและกลยุทธ์ที่ยั่งยืน เพื่อโอกาสการลงทุนที่ดีกว่า จากผลสำรวจโดย Lombard Odier พบว่าบุคคลสินทรัพย์สูง (HNWIs) ในประเทศไทยให้ความสำคัญกับความยั่งยืนก่อนตัดสินใจลงทุนและเชื่อว่าจะสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าได้ ในส่วนของ S ที่สาม-Sharing ผสานร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งองค์กรสาธารณกุศล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และลูกค้าที่ต้องการจัดตั้งมูลนิธิของครอบครัว โดยให้คำแนะนำด้านการลงทุนและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการให้เกิดความยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมายและมีส่วนร่วมในการผลักดันเศรษฐกิจให้ความก้าวหน้า สร้างโลกที่ยั่งยืน และสร้างสังคมที่มีความสุข