Phones





JDF โรดโชว์แผนขาย IPO 150 ล้านหุ้น

2022-03-14 16:23:23 384




นิวส์ คอนเน็คท์ – JDF โรดโชว์แผนขายไอพีโอ 150 ล้านหุ้น เตรียมเข้าซื้อขายใน SET ช่วงไตรมาส 2/65 หวังนำเงินระดมทุนไปใช้ในการขยายตลาดใหม่ พร้อมจัดตั้งสำนักงานขาย CLMV รุกส่วนงานวิจัยพัฒนา วางเป้ารายได้จากการขายปี 65 เติบโต 25% เล็งร่วมวงธุรกิจกัญชง
 
เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2565 นางสาวรัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดีฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ JDF เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้จากยอดขายปี 65 เติบโต 25% จากปีก่อนที่ยังประสบปัญหาจากสถานการณ์โควิด โดยคาดว่าจะเติบโตจากฐานลูกค้าเก่ากลับมา ซึ่งบริษัทมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเสนอขายลูกค้าเก่าประกอบกัน รวมถึงการขยายตลาดกลุ่มลูกค้าใหม่ทั้งผลิตภัณฑ์เก่าและใหม่ๆ ประกอบกัน ซึ่งยังมีโอกาสขยายตลาดเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มมะพร้าวอบกรอบจะเน้นรุกตลาดในกลุ่มประเทศที่มีกำลังซื้อ
 
ด้านธุรกิจกัญชง-กัญชา บริษัทฯ ยอมรับว่าให้ความสนใจเช่นกัน โดยติดต่อกับผู้ผลิตต้นน้ำที่ปลูกและผลิต เพื่อรองรับให้บริษัทได้เตรียมพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ไว้หลากหลายรองรับกลุ่มลูกค้า เมื่อกฎหมายอนุญาตอย่างเป็นทางการ บริษัทฯ สามารถออกผลิตภัณฑ์ได้ทันที
 
ทั้งนี้ JDF เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาสูตรอาหารให้แก่ลูกค้าในธุรกิจอาหารและร้านอาหารยักษ์ใหญ่ และ SMEs ที่สามารถช่วยลูกค้าพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนสูตรอาหารให้ตรงความต้องการของตลาด ซึ่งได้พัฒนาสูตรมาแล้วกว่า 300 ราย หรือกว่า 2,000 เมนู มีเป้าหมายระยะยาวก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการผลิตเครื่องปรุงรสอาหารที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนา ในการสร้างความยั่งยืนให้ระบบนิเวศอุตสาหกรรมอาหาร ให้สามารถเติบโตสู่ครัวโลก
 
โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทมีการลงทุนในการสร้างโรงงานใหม่บนพื้นที่ 33 ไร่ ที่จังหวัดสมุทรสาคร และเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องปรุงรสอาหารกว่า 75% จากกำลังการผลิตของโรงงานเดิม อย่างไรก็ดี สถานการณ์โควิดกระทบภาพรวมคำสั่งซื้อและการส่งออกของลูกค้าบริษัทฯ แต่เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารอยู่ในเทรนด์การเติบโตของโลก ประกอบกับฐานลูกค้าเป็นบริษัทชั้นนำ ทำให้ความต้องการเครื่องปรุงรสยังคงอยู่ในระดับสูง
 
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 64 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 420.95 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 26.60 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้น 29.0% อัตราส่วนกำไรสุทธิ 6.3 % คาดหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะเพิ่มโอกาสการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ

ด้านนายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ JDF กล่าวว่า JDF เตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น ในช่วงไตรมาส 2/65 โดยจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร โดย JDF จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจ โดยตั้งสำนักงานและหน่วยวิจัยในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV, ประเทศจีนตอนใต้ และอินเดีย

 นอกจากนี้ จะมีการใช้เงินเพื่อการวิจัยและพัฒนากุล่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีอัตราการเติบโตสูง ทั้งในส่วนของกลุ่มแป้งชุบทอดสำเร็จรูป (Balter Mix) และผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ (Protein Sanck) รวมถึงลงทุนในระบบเทคโนโลยีและระบบกึ่งอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขยายกำลังการผลิต อีกทั้งพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตและยอดขายที่เพิ่มขึ้น และใช้ชำระเงินกู้ เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
 
“ช่วงโควิดที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่อาจกระทบธุรกิจอาหารคือกลุ่มร้านค้าที่ขายในห้างสรรพสินค้า เมื่อเกิดล็อกดาวน์หรือลดเวลาขายลง การบริโภคจึงลด รวมถึงกลุ่มลุกค้ากลุ่มสแน็กรายใหญ่ของบริษัทติดปัญหาเรื่องการส่งออก ทั้งเรื่องตู้คอนเทนเนอร์และการบริโภคลด แต่คาดว่าจากสถานการณ์คลายล็อกดาวน์แล้ว ธุรกิจในห้างกลับมาปกติ ดังนั้นผลงานจึงน่าจะกลับมาเป็นปกติได้” นายเอกจักร กล่าว
 
ทั้งนี้ มองว่าสถานการณ์เริ่มกลับมาปกติ การใช้กำลังการผลิตที่ JDF ได้เพิ่มโรงงานช่วงก่อนหน้านี้จะสามารถทำได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งหากธุรกิจเครือข่ายร้านอาหารเติบโตมากขึ้น จะมีโอกาสให้ JDF ขายผลิตภัณฑ์ เช่น กลุ่มผงปรุงรส มากขึ้น นอกจากนี้การระดมทุนเพื่อพัฒนาส่วนการทำงานแบบกึ่งอัตโนมัติ ทำให้บริษัทฯ สามารถกระจายและขยายไปได้ทั่วโลก 
 
“เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นที่อยู่ในตลาดอยู่แล้ว ยกตัวอย่าง RBF ยอดขายเค้ามาจากผงชุบกรอบ , NFR ทำธุรกิจใกล้เคียงกันแต่ส่วนใหญ่ขายซอส น้ำซุป รวมถึง plant based , XO เน้นซอสปรุงรส แต่ JDF จะเน้นด้านผงปรุงรสไม่เหมือนใคร ซึ่งมีจุดดีด้านน้ำหนักน้อยค่าโลจิสติกส์น้อย โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะแตกต่างและคนละรูปแบบกันกับบริษัทอื่นๆ ซึ่ง JDF จะเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับกลุ่มธุรกิจอาหาร” นายเอกจักร กล่าว