Phones





TOP ลุยกลยุทธ์ '3Vs' - ลดสัดส่วนถือหุ้นใน GPSC

2022-03-21 17:06:21 267




นิวส์ คอนเน็คท์ - TOP ชูแผนกลยุทธ์หลักขับเคลื่อนองค์กร 3Vs ได้แก่ Value Maximization, Value Enhancement และ Value Diversification พร้อมเตรียมออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน และปรับสัดส่วนการถือหุ้นใน GPSC เพื่อปรับโครงสร้างทางการเงินในระยะยาว รองรับแผนต่อยอดความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักจากธุรกิจปิโตรเลียมสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง พื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจพลังงานที่ยั่งยืน
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2565 นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ไทยออยล์ยังคงเดินหน้ามุ่งสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำในธุรกิจพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘Empowering Human Life through Sustainable Energy and Chemicals’ สอดคล้องแนวโน้มอุตสาหกรรมพลังงานที่กำลังเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนผ่าน Energy Transition เพื่อใช้พลังงานสะอาด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

ดังนั้น บริษัทฯ จึงปรับกลยุทธ์องค์กรเพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคต โดยอาศัยรากฐานที่มั่นคงจากธุรกิจหลัก(Building on Our Strong Foundation) อย่างธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจอะโรเมติกส์ต่อยอดการเติบโตสู่ธุรกิจใหม่ ได้แก่ ธุรกิจโอเลฟิน ธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง (High Value Products: HVP) ธุรกิจไฟฟ้า จากพลังงานหมุนเวียน การขยายตลาดสู่ระดับภูมิภาค จนถึงการลงทุนธุรกิจใหม่ ๆ ที่เป็น New S-Curve เพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทพลังงานที่ยั่งยืน ภายใต้การขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน (3Vs) 

ประกอบด้วย 1) Value Maximization : Integrated Crude to Chemicals การบูรณาการต่อยอดห่วงโซ่คุณค่าจากธุรกิจโรงกลั่นสู่ธุรกิจปิโตรเคมี เช่น อะโรเมติกส์ โอเลฟิน รวมไปถึงผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงเพื่อเพิ่มมูลค่าสูงสุดให้กับผลิตภัณฑ์ และเสริมความสามารถในการแข่งขันของไทยออยล์ 2) Value Enhancement : Integrated Value Chain Management การบูรณาการขยายตลาดและกระจายผลิตภัณฑ์ไปสู่ต่างประเทศในระดับภูมิภาค เน้นตลาดที่มีความต้องการสูงเพื่อเข้าถึงความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายยิ่งขึ้น 3) Value Diversification การกระจายการเติบโตสู่ธุรกิจที่มีความมั่นคงของผลกำไร เช่น ธุรกิจไฟฟ้า รวมถึงแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ที่เป็น New S-Curve เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต
ทั้งนี้ บริษัทฯ ดำเนินการต่อยอดความแข็งแกร่งทางธุรกิจ โดยได้เข้าร่วมลงทุนในบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (“CAP”) ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ครบวงจรชั้นนำรายใหญ่ที่สุดของประเทศอินโดนีเซีย ถือเป็นก้าวแรกในการรุกเข้าสู่ธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟิน ส่งผลให้โครงสร้างธุรกิจปิโตรเคมีของไทยออยล์ ครอบคลุมทั้งสายอะโรเมติกส์และสายโอเลฟิน สร้างโอกาสในการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปลายน้ำที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยบริษัทฯ เริ่มได้รับส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนการถือหุ้น 15% ของ CAP ตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังเป็นการขยายตลาดไปสู่ประเทศอินโดนีเซียที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในระดับสูง อีกทั้ง ได้สร้างความร่วมมือทางการค้าใหม่ๆ โดยไทยออยล์ได้ทำสัญญาเพื่อส่งผลิตภัณฑ์จากโรงกลั่นเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับผลิตปิโตรเคมีให้กับ CAP และได้ทำสัญญาเพื่อจำหน่ายพอลิเมอร์เรซิน (Polymer Resin) และผลิตภัณฑ์ในรูปของเหลวอื่นๆ ของ CAP อีกด้วย นับเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ 
ด้าน นางวนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการเงินและบัญชี กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนปรับโครงสร้างทางการเงินระยะยาว ผ่านการเพิ่มทุนและปรับลดสัดส่วนการลงทุนในบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 65 มีมติเห็นชอบการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 2,751,200,000 บาท จากทุนจดทะเบียน 20,400,278,730 บาท เพิ่มเป็น 23,151,478,730 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 275,120,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par) หุ้นละ 10 บาท 

ประกอบด้วย 1) การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering: PO) จำนวนไม่เกิน 239,235,000 หุ้น ซึ่งรวมการเสนอขายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น สัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของหุ้นสามัญทั้งหมดที่ออกและเสนอขายในครั้งนี้ โดยจะไม่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นที่จะทำให้หรืออาจเป็นผลให้บริษัทฯ มีภาระหรือหน้าที่ตามกฎหมายต่างประเทศ และอาจพิจารณาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนบางส่วนให้แก่ประชาชนทั่วไปด้วย และ 2) บริษัทฯ อาจพิจารณาจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อรองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนโดยผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment Agent) เพื่อรองรับกระบวนการจัดสรรหุ้นส่วนเกินกว่าจำนวนที่จัดจำหน่าย (Over-Allotment) จำนวนไม่เกิน 35,885,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 15% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่เสนอขายในครั้งนี้ ในกรณีที่มีผู้จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ เกินกว่าจำนวนที่เสนอขาย

ขณะเดียวกันที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเห็นชอบการจำหน่ายหุ้นสามัญของ GPSC จำนวนทั้งสิ้น 304,098,630 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10.78% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ GPSC เป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 22,351 ล้านบาท ให้แก่ บมจ. ปตท. (PTT) และ/หรือ บริษัท สยาม แมนเนจเม้นท์ โฮลดิ้ง จำกัด (SMH) ซึ่ง ปตท. ถือหุ้นทางอ้อมในสัดส่วน 100% โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2565 ของ TOP ในวันที่ 7 เมษายนนี้ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติต่อไป