Phones





IRPC ไตรมาส1/65 กำไร1,501ล้านบาทพร้อมรับศก.ฟื้น-เปิดประเทศ

2022-05-11 12:00:59 149



นิวส์​ คอนเน็คท์​ -​ IRPC เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2565 กำไรสุทธิ 1,501 ล้านบาท มั่นใจโตต่อเนื่อง แม้ต้องเผชิญต้นทุนน้ำมันดิบขาขึ้น เดินหน้ารุกธุรกิจใหม่ ต่อยอดความแข็งแกร่งให้ธุรกิจปัจจุบัน 

เมื่อวันที่​ 11​ พฤษภาคม​ 2565​ นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1 ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 76,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาขายเพิ่มขึ้น ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีกำไรขั้นต้น จากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 4,105 ล้านบาท หรือ 7.08 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลง 39% สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ทั้งน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานและปิโตรเคมี ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ประกอบกับต้นทุนราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้ว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินปรับตัวดีขึ้น และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 9,891 ล้านบาท หรือ 17.05 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 42% ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) จำนวน 6,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113% และมีกำไรสุทธิ 1,501 ล้านบาท 

ด้วยวิสัยทัศน์การเป็นองค์กร “สร้างสรรค์นวัตกรรมการใช้วัสดุและพลังงาน เพื่อชีวิตที่ลงตัว” ที่สอดรับกับทิศทางของโลกในอนาคต เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคทุกรูปแบบ บริษัทฯ เดินหน้ารุกธุรกิจใหม่ ต่อยอดความแข็งแกร่งให้ธุรกิจปัจจุบันที่สร้างสมดุลทั้งในด้านธุรกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยการเพิ่มสัดส่วนการผลิต เม็ดพลาสติกชนิดพิเศษไปสู่กลุ่ม Smart Material ที่ได้คิดค้น วิจัย พัฒนาและผลิตเม็ดพลาสติก PP Meltblown สำเร็จเป็นรายแรกของประเทศ รวมถึงการต่อยอดธุรกิจปิโตรเคมี โดยการร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท อินโนโพลีเมด จำกัด เพื่อผลิตผ้าไม่ถักไม่ทอ (Non-woven Fabric) ที่ขึ้นรูปด้วยวิธี Meltblown โดยขณะนี้โรงงานได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จและอยู่ในระหว่างการทดสอบการเดินเครื่องจักรและทดลองผลิตผ้า PP Meltblown ที่เป็นวัตถุดิบหลักสำหรับผ้าชั้นกรองหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ และแผ่นกรองอากาศ เป็นต้น นับเป็นก้าวสำคัญของ IRPC ในการเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบ เพิ่มเสถียรภาพ และความสามารถในการแข่งขันการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ไทยให้ทัดเทียมกับสากล  

สำหรับแนวโน้มภาวะตลาดน้ำมันดิบในไตรมาส 2 ปี 2565 คาดว่าปริมาณการใช้น้ำมันของโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นจาก ไตรมาสที่ผ่านมา จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในหลายประเทศทั่วโลก ที่ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมฟื้นตัว โดยราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน จากการคาดการณ์ว่า มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจะยังคงยืดเยื้อและจะเริ่มส่งผลกระทบมากขึ้น ในส่วนของปัจจัยที่กดดันราคาน้ำมันดิบ ได้แก่ การที่สหรัฐฯ และพันธมิตรในองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency; IEA) มีความพยายามที่จะนำน้ำมันดิบจากคลังสำรองเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve; SPR) มาใช้งานประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม 2565 รวมถึงคาดการณ์ว่าจะมีการส่งออกน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้นจากอิหร่านในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ หากการยกเลิกการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่ออิหร่าน เป็นผลสำเร็จในช่วงปลายไตรมาส 2 

นอกจากนี้ การประกาศมาตรการ Lockdown ของประเทศจีนในหลายพื้นที่ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันดิบมากที่สุดในโลก

ส่วนแนวโน้มภาวะตลาดปิโตรเคมีในไตรมาส 2 ปี 2565 คาดว่าความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา โดยผู้ผลิตสินค้าปลายทางเริ่มกลับมาสั่งซื้อเม็ดพลาสติกมากขึ้น เนื่องจากคาดว่าราคาวัตถุดิบจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ รัสเซีย- ยูเครน​ โดยปัจจัยที่ต้องเฝ้าติดตาม คือ ระดับความรุนแรงของสถานการณ์ดังกล่าวที่จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบและราคาวัตถุดิบที่อาจปรับเพิ่มมากขึ้นได้ รวมถึงความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจากอุตสาหกรรมปลายน้ำ เช่น บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม อุปกรณ์ทางการแพทย์และสุขภาพอนามัย ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามการปรับตัวในการดำเนินชีวิตแบบวิถีใหม่ (New normal) ประกอบกับความต้องการในภาคธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV Car) ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดย EV Car จะใช้พลาสติกเป็นส่วนประกอบในปริมาณมากเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์ 

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตใหม่จำนวนมากในปี 2565 ทั้งตามแผนเดิม และที่เลื่อนมาจากปี 2564 โดยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากจีน ตามนโยบายการลดการพึ่งพาการนำเข้าปิโตรเคมี (Self-sufficiency) ปัญหาค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น รวมถึงปัญหาด้านความแออัดของท่าเรือซึ่งอาจจำกัดกิจกรรมทางการค้า เป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี
ทั้งนี้ IRPC ได้ดำเนินการตามกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งทางตรง และทางอ้อม สนับสนุนและขับเคลื่อนธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำ รวมทั้งกำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ และจัดทำแผนงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ เพื่อเตรียมก้าวไปสู่องค์กร Net Zero Emission

นอกจากนี้ IRPC ได้เตรียมเสนอขายหุ้นกู้และหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปใช้ลงทุนตามกลยุทธ์ใหม่ การขยายผลการลงทุนเชิงอนุรักษ์ อาทิ ส่วนขยายโครงการทุ่นโซลาร์ลอยน้ำ (Floating Solar) ตามแนวทางการออกกรีนบอนด์ที่ได้รับการยอมรับในระดับมาตรฐาน โดยจะเปิดการจองซื้อในระหว่างวันที่ 17 - 19 พฤษภาคมนี้