Phones





กสิกรไทย วางกรอบจีดีพีปี 66 ที่ 3.2-4.2% หวั่นศก.ประเทศคู่ค้าถดถอย

2022-09-28 20:36:30 303



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคงจีดีพีปี 65 ที่ 2.9% ขณะที่มองกรอบจีดีพีปี 66 ที่ 3.2-4.2% โดยหวังพึ่งแรงขับเคลื่อนจากการท่องเที่ยว บรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจคู่ค้าถดถอย ท่ามกลางความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เริ่มเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ นำโดยสหรัฐฯ ขณะที่เศรษฐกิจไทยเพิ่งจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการฟื้นตัว
 
เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2565 นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงปลายปี 65 ต่อเนื่องไปถึงช่วงต้นปี 66 มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคอีกครั้ง (Technical Recession) เช่นเดียวกับเศรษฐกิจยุโรปที่จะเห็นภาวะดังกล่าวที่จีดีพีหดตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ติดต่อกันเป็นระยะเวลาสองไตรมาส ซึ่งทำให้การฟื้นตัวของไทยคาดหวังแรงส่งจากฝั่งการส่งออกได้ลดลง
 
นอกจากนี้ สถานการณ์เงินเฟ้อโลกจะยังไม่ลดลงเร็ว โดยได้รับแรงกดดันจากปัญหาการเมืองระหว่างประเทศที่ยืดเยื้อ ดังนั้น เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 65 ต่อเนื่องถึงปี 66 จึงต้องพึ่งพาแรงส่งจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้ไว้ที่ 9.75 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 7.2 ล้านคน ขณะที่ปี 66 จำนวนนักท่องเที่ยวคาดว่าจะขยับขึ้นมาที่ 13.0-20.0 ล้านคน ซึ่งยังต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤตโควิดที่ 40 ล้านคนอย่างมีนัยสำคัญ
 
ส่งผลให้ในภาพรวมแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงยังคงประมาณการจีดีพีของปี 65 ไว้ที่ 2.9% ขณะที่แม้ในปี 66 จีดีพีจะขยายตัวเร่งขึ้นมาที่กรอบ 3.2-4.2% แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยเสี่ยงให้ติดตามทั้งเงินเฟ้อ การขึ้นดอกเบี้ย และภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลายประเทศ
 
ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยนั้น คาดว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ และอาจลากไปถึงช่วงแรกของปีหน้า ขึ้นกับระดับความแรงของอัตราเงินเฟ้อและขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในแต่ละครั้งของเฟด ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยคงปรับขึ้นต่อเนื่องไปถึงไตรมาสแรกของปี 66 เป็นอย่างน้อย แต่ในขนาดการปรับขึ้นที่ค่อยเป็นค่อยไป ส่วนเงินบาทในช่วงที่เหลือของปี 65 นี้ คาดว่าจะยังเคลื่อนไหวในกรอบที่อ่อนค่า ตราบใดที่เงินดอลลาร์ฯ มีแรงหนุนจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด
 
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า สัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ดังกล่าว ผนวกกับนโยบายการปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ กลับมาที่ 0.46% ตั้งแต่ต้นปี 66 นั้น คงทำให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำและเงินกู้มาตรฐานตาม แม้ว่าสภาพคล่องจะอยู่ในระดับสูง ขณะที่แม้มองว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะไม่ส่งผลให้เกิดภาวะการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL Cliff) เนื่องจากธนาคารพาณิชย์เร่งปรับโครงสร้างหนี้และบริหารจัดการหนี้ในเชิงรุก แต่ประเด็นเรื่องคุณภาพหนี้และการช่วยเหลือลูกค้า ก็ยังต้องจับตามองอย่างต่อเนื่อง
 
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์สัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมของระบบธนาคารพาณิชย์อยู่ในกรอบ 2.90-3.10% ภายในสิ้นปี 66 เทียบกับ 2.88% ณ สิ้นไตรมาส 2/65 ส่วนแนวโน้มสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย คาดว่าจะขยายตัวในกรอบ 4.5-6.0% ในปี 66 เทียบกับประมาณ 5.0% ในปี 65 ซึ่งถือว่าไม่ได้สูงมาก ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังมีอยู่มาก
 
ด้านนางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ในช่วงที่เหลือของปี 65 และปี 66 นั้น มองว่ายังเผชิญสภาวะที่ท้าทายอยู่มาก โดยเฉพาะจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจหลักในโลกที่เป็นประเทศคู่ค้าหลักของไทย ทำให้อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกอาจไม่ได้รับอานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่าอย่างเต็มที่ สำหรับภาคการท่องเที่ยวก็เช่นกัน ตลาดนักท่องเที่ยวหลักที่เดินทางมา เผชิญปัญหาค่าเงินที่อ่อนและบางประเทศเผชิญความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย ประกอบกับราคาพลังงานที่สูงดันค่าโดยสารเครื่องบินและค่าใช้จ่ายรายการอื่นๆ ให้แพงขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลต่อการตัดสินใจเดินทางหรือใช้จ่าย
 
ขณะที่การอ่อนค่าของเงินบาท 10-15% จะกระทบต้นทุนนำเข้าภาคอุตสาหกรรมเฉลี่ยประมาณ 2.2% ดังนั้นจึงเป็นโจทย์ที่ภาคอุตสาหกรรมต้องเตรียมตัวรับมือ เส้นทางของการฟื้นตัวในปีหน้าจึงยังไม่ถือว่าราบรื่นนัก