Phones





AAI เปิดเทรดวันแรกเหนือจอง42% ดันรายได้พุ่งสู่6.4พันลบ.

2022-11-01 13:56:01 283



นิวส์ คอนเน็คท์ - AAI พอใจเทรดวันแรกพุ่งกว่า 42% จากราคาไอพีโอ 5.55 บาท เชื่อพื้นฐานเหมาะสมต่อราคา หลังจากนี้ลุยขยายธุรกิจเต็มอัตรา มั่นใจรายได้ปี 65 ไม่ต่ำกว่า 6.4 พันล้านบาท 

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ AAI เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก มีราคาเปิดตลาดที่ 7.90 บาท เพิ่มขึ้น 42.34% จากราคาIPOที่ 5.55 บาท โดยภาคเช้านั้นราคาได้ขึ้นสูงสุดที่ระดับ 8.05 บาท และลดลงต่ำสุดที่ 7.30 บาท ทั้งนี้ราคาหุ้น AAI ปิดตลาดภาคเช้าที่ 7.65 บาท เพิ่มขึ้น 2.10 บาท หรือ 37.84% ด้วยปริมาณการซื้อขายรวม 484.8 ล้านบาท 

นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI เปิดเผยว่า บริษัทพอใจราคาหุ้นเข้าซื้อขายใน SET เป็นวันแรก สะท้อนถึงคงามเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีให้กับบริษัท โดยราคาเปิดตลาดฯนั้นมองว่าเหมาะสมกับพื้นฐานของธุรกิจ ที่จะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ด้านรายได้ปี 65 ตั้งเป้าเติบโตได้ 15-20% หรือไม่ต่ำกว่า 6,400 ล้านบาท ปัจจัยจากการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อเพิ่มฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ในรูปแบบสินค้าการรับจ้างผลิต (OEM) อาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) ซึ่งบริษัทรับจ้างผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงให้กับผู้ผลิต 40-50 แบรนด์ และมีจำนวนผลิตภัณฑ์มากกว่า 200 SKU โดยมีสัดส่วนรายได้หลักจาก ประเทศสหรัฐ ประเทศญีปุ่น และ สหภาพยุโรป ซึ่งเป็นที่มีขนาดใหญ่และมีการเติบโตได้ในระดับเหมาะสม

“ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงยังมีความต้องการที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกระแสความสนิยมการเลี้ยงสัตว์เป็นสมาชิคของครอบครัว ทำให้เจ้าของยอมที่จะใช้จ่ายในสินค้าและบริการต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น เพื่อที่จะให้คุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงดีขึ้น” นายเอกราช กล่าว

ภายหลังจากนี้บริษัทจะขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกในประเทศไทย ช่วงปลายปี 65-68 อีกประมาณ 40,000 ตันต่อปี จากปัจจุบันที่มีกำลังผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกสูงสุด 42,000 ตันต่อปี ด้วยงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,600 ล้านบาท รวมไปถึงการขยายคลังสินค้าอัตโนมัติ (Auto Warehouse) แห่งที่ 2 ภายในปี 66 ด้วยงบลงทุน 400-500 ล้านบาท สามารถจัดเก็บสินค้าเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 15,000-20,000 พาเลท

นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากแบรนด์สินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของตัวเองเพิ่มเป็นสัดส่วน 10% เดิมที่อยู่ราว 3% เนื่องด้วยได้มาร์จิ้นที่ดีกว่า โดยบริษัทได้พัฒนาสินค้าแบรนด์มองชู (monchou) และ มาเรีย (Maria) เจาะกลุ่มลูกค้าตลาดสินค้าพรีเมียม ขณะที่ แบรนด์ มองชู บาลานซ์ (monchou balanced) และ ฮาจิโกะ (Hajiko) เจาะกลุ่มลูกค้าตลาดทั่วไป ส่วนแบรนด์ โปร (Pro) เจาะกลุ่มลูกค้าที่เน้นแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก โดยแบรนด์ของบริษัทจะเน้นการขยายตลาดในภูมิภาคเป็นหลัก เนื่องจากสินค้าของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในตลาด ซึ่งปัจจุบันได้ส่งไปให้ตัวแทนจำหน่ายในประเทศอินโดนีเซีย และ ประเทศในตะวันออกกลาง เพื่อที่จะทดลองตลาดแล้วในปัจจุบัน และ อนาคตเตรียมที่จะขยายไปในประเทศจีนเพิ่มเติมต่อไป