Phones





SEAFCO พื้นฐานเปลี่ยนรับปีกระต่าย ผลงานเทิร์นอะราวด์ยาวๆ

2023-01-18 11:59:56 170



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - บล. เอเซีย พลัส ส่องพื้นฐาน SEAFCO กลับมาแข็งแกร่ง โดยผลประกอบการจะฟื้นตัวและพลิกกลับมาเป็นกําไรได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/66 เป็นต้นไป เนื่องจากจะเริ่มรับรู้รายได้โครงการ North Pole ของเครือเซ็นทรัล และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ซึ่งมีมูลค่ารวมกันกว่า 1,200 ล้านบาท แนะนำ “ซื้อ” SEAFCO ราคาเป้าหมาย 4.92 บาท
 
เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2566 ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด ระบุว่า ฝ่ายวิจัยประเมินว่าผลประกอบการของบริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO ในไตรมาส 4/65 จะดีขึ้นเทียบกับไตรมาส 3/65 ที่ผ่านมา เนื่องจากสามารถทํางานโครงการ Tenth Avenue และโครงการทางยกระดับพระราม 2 – บ้านแพ้ว ได้เต็มไตรมาส ประกอบกับมีการนําเข้าแรงงานต่างด้าว 95 คน อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการไตรมาส 4/65 น่าจะอยู่ ในระดับขาดทุนเล็กน้อยหรือเพียงแค่ใกล้เคียงกับจุดคุ้มทุน (breakeven) เนื่องจากอัตราการใช้เครื่องจักรในไตรมาส4/65 ยังคงอยู่ในระดับต่ำ
 
ขณะที่คาดว่าผลประกอบการของ SEAFCO จะเริ่มพลิกกลับมามีกำไร โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/65 SEAFCO มีมูลค่า Backlog คงเหลือ 1,153.34 ล้านบาท แต่ถ้าหักโครงการ Central Embassy มูลค่าประมาณ 700 ล้านบาท ออกจาก Backlog หลัง SEAFCO ตัดสินใจถอนตัว เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีความล่าช้าในการดำเนินงานมาก จะทำให้ Backlog ที่พร้อมรับรู้รายได้จริงๆลดลงเหลือเพียง 453 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา SEAFCO สามารถคว้างานสำคัญมาได้ 2 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการ North Pole ของเครือเซ็นทรัล เฟส 1 ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 400 - 500 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มงานได้ตั้งแต่ช่วงธ.ค. - ม.ค. เป็นต้นไป และมีอัตราการใช้เครื่องจักร 5 - 6 ชุด
 
2.โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ในส่วนที่เป็นของ CK และ STEC โดย SEAFCO เซ็นรับงานทั้งหมด 3 สถานี มูลค่าเฉพาะค่าแรงประมาณ 800 ล้านบาท ประกอบด้วย สถานีรัฐสภา (PP17), สถานีศรีย่าน (PP18) และสถานีโรงพยาบาลวชิรพยาบาล (PP19) โดยทยอยขนย้ายเครื่องจักรเข้าพื้นที่ก่อสร้างสถานีรัฐสภาช่วงปลาย พ.ย.2565 ตามด้วยสถานีโรงพยาบาลวชิระในช่วง ม.ค.2566 และสถานีสถานีศรีย่านช่วงต้น ก.พ.2566 ซึ่งมีอัตราการใช้เครื่องจักรราว 12 ชุด เนื่องจากงานนี้เป็นงานที่รับค่าแรงอย่างเดียว จึงคาดหวังอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 20%
 
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าปัจจุบัน SEAFCO น่าจะมี Backlog สูงถึง 1.8-1.9 พันล้านบาท สูงที่สุดในรอบ 2 ปี ภายใต้สถานการณ์ด้านแรงงานที่ดูดีขึ้นมาก เนื่องจากช่วงไตรมาส 3/65 SEAFCO สามารถนำเข้าแรงงานต่างด้าวมาได้ 95 คน และช่วงไตรมาส 4/65 – 1/66 คาดว่าจะนําเข้าแรงงานเพิ่มเติมอีก 200 – 300 คน ประกอบกับแรงงานปัจจุบันที่มีอยู่ 200 คน ปัจจัย
ดังกล่าวจะช่วยหนุนให้ SEAFCO สามารถกลับไปรับงานจำนวนมากได้อีกครั้งเทียบกับเครื่องจักรที่มีในมือ โดยฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำ “ซื้อ” และประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 4.92 บาท