Phones





AS ประกาศ Rebranding รุก Blockchain เข็นรายได้โต 30%

2023-03-07 15:56:08 170




นิวส์ คอนเน็คท์ - AS ตั้งเป้ารายได้โต 30% จ่อเปิดตัวเกมส์ใหม่ 11 เกม เตรียมเดินหน้าเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น เปลี่ยนชื่อ บมจ.แอสเฟียร์ อินโนเวชั่นส์ (ASPHERE) แต่ยังคงใช้ชื่อย่อเดิม สร้างการเติบโตในอนาคต

เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566 นายปราโมทย์ สุดจิตพร ประธานกรรมการ บริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AS เปิดเผยว่า เตรียมเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเดือน เม.ย.นี้ เพื่อเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท แอสเฟียร์ อินโนเวชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ (ASPHERE) แต่ยังคงใช้ชื่อย่อเดิม AS เพื่อต่อยอดธุรกิจให้ครอบคลุมไปถึงธุรกิจ Blockchain&Innovation Technologies, ธุรกิจสื่อและการตลาด, ธุรกิจเงินร่วมลงทุน เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นการขยายขอบเขตการทำธุรกิจจากเดิมอยู่ในตะวันออกเฉียงใต้ ให้ไปทั่วโลก เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต

ส่วนผลการดำเนินงานในปี 66 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตอยู่ที่ระดับ 30% จากปีก่อน โดยบริษัทเตรียมเปิดตัวเกมใหม่ประมาณ 11 เกม โดยส่วนใหญ่กว่า 70% เป็นเกมที่มาจากประเทศจีนจำนวน 6-7 เกม ที่จะเปิดตัวในปีนี้ หลังจากในปี 65 ประเทศจีนมีการล็อกดาว์น ทำให้มีการเลื่อนมาเปิดตัวในปีนี้มากขึ้น

สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปีนี้จะมาจากธุรกิจหลักจากเกมออนไลน์ 85% และคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากแพลตฟอร์ม Astronize อีกราว 10% รวมถึงหากการลงทุนใน บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (buzzebees) สำเหร็จจะสร้างรายได้เข้ามาเพิ่มราว 10%

นอกจากนี้จะมีการนำเทคโนโลยี AI ด้านการตลาดและการวิเคราะห์ข้อมูลมาเสริมความแข็งแกร่งในการให้บริการเกมในลักษณะ Segmentation ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เพื่อมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพในการทำแคมเปญทางการตลาดและผลตอบแทนในการลงทุน (Return on Investment) ที่ดีขึ้นในระยะยาว ทั้งนี้ยังได้เตรียมนำเทคโนโลยีบล็อคเชนเข้ามาประยุกต์ใช้ โดยจะมีการออก PlayPark NFT ซึ่งเป็นรูปแบบ Membership Privilege ที่จะมอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกที่ถือครอง และการออก PlayPark Token เพื่อใช้ในการทำ CRM Program ที่ลูกค้าจะสามารถสะสม Token ที่ได้จากการเล่นเกม การใช้จ่าย รวมถึงการทำภารกิจต่าง ๆ และนำ Token มาใช้แลกรับสิทธิพิเศษ ของขวัญ ของรางวัล หรือร่วมกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ

นายกิตติพงศ์ พฤกษอรุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คับเพลย์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด กล่าวว่า ในปี 2566 ว่า การพัฒนาแพลตฟอร์ม Astronize ซึ่งเป็น Hybrid Web 3.0 Game Platform รายแรกในภูมิภาคมีความคืบหน้าเป็นไปตามแผน โดยบริษัทฯ ได้ทำการแต่งตั้งที่ปรึกษา (ICO Portal) ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา และขณะนี้อยู่ในช่วงการเตรียมเอกสารการยื่นขออนุญาตเสนอขาย Utility Token แก่สาธารณะ (ICO) เพื่อสำหรับใช้งานภายใต้ระบบนิเวศของ Astronize ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. โดยคาดหวังว่าจะสามารถเสนอขาย ICO ได้ในไตรมาส 3-4 ปีนี้ 

พร้อมกับแผนการเปิดตัวเกมทันทีหลังจาก ICO จำนวน 2 เกมทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ TS Multiverse ซึ่งเป็นเกมแนว SRPG ในรูปแบบ Free-to-Play & Earn ที่ถูกพัฒนาและปรับแต่งมาจากเกม TS Mobile สุดคลาสสิกที่เคยทำให้เอเชียซอฟท์ฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาแล้วนับตั้งแต่ปี 2562 และเกม Clash of Thrones ซึ่งเป็นเกม NFT Idle RPG รูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากเกม Idle RPG ทั่วไป โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจะมีผู้ใช้บริการบนแพลตฟอร์ม Astronize ทันทีหลังจากเปิดตัว 2 เกมไม่น้อยกว่า 500,000 คน และเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1 ล้านคนภายใน 1 ปีด้วยแผนการเปิดตัวเกมใหม่เพิ่มเติมทุกไตรมาส และตั้งเป้ารายได้แตะ 1 พันล้านบาทภายใน 3 ปีนับจากเปิดให้บริการ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ร้อยละ 67 

อย่างไรก็ตามจาก 2-3 ปีที่ผ่านมา โมเดลธุรกิจของ GameFi ได้ผ่านบทพิสูจน์มามากพอสมควร และรูปแบบที่ได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จและมีความยั่งยืนที่สุดในปัจจุบันคือรูปแบบ Free-to-Play & Earn โดยเฉพาะการนำเอาเกม Traditional (Web 2.0) ที่มีคุณภาพสูงและความสนุกสนานมาผสานเข้ากับเทคโนโลยี Blockchain (Web 3.0) เพื่อนำมาให้บริการในรูปแบบ Hybrid เนื่องจากตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานในการเล่นเกมอย่างแท้จริงคือความสนุก แต่ผู้เล่นสามารถได้ผลตอบแทนหรือ Earn จากการเล่นควบคู่ไปด้วยและสามารถแลกเปลี่ยนไอเทมในเกมกับผู้เล่นอื่นๆ ได้อย่างสะดวกและปลอดภัยด้วยการแปลงเป็น NFT ซึ่งแตกต่างจากเกม Web 3.0 ที่เปิดให้บริการด้วยโมเดล Play-to-Earn ที่เน้นการลงทุนก่อนเข้าเล่น เพื่อหวังผลตอบแทนเป็นหลัก แต่คุณภาพของเกมยังไม่สามารถตอบโจทย์ด้านความสนุกที่แท้จริงได้ ซึ่งเชื่อว่าเกม Web 3.0 จะยังต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาด้านคุณภาพให้เทียบเท่าเกมยุค Web 2.0 และค้นหาโมเดลทางธุรกิจที่เหมาะสมและยั่งยืนอย่างน้อยอีก 2-3 ปี

ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจ Blockchain and Innovation Technologies ได้เตรียมก้าวเข้าสู่ธุรกิจ Metaverse ที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต โดยได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับพันธมิตรเพื่อเข้าลงทุนในโปรเจกต์ Big Bang Theory ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มให้บริการ Metaverse as-a-service รายแรกของโลก เพื่อช่วยให้ลูกค้าองค์กรหรือแบรนด์สินค้าต่าง ๆ สามารถสร้าง Metaverse ของตนเองด้วย module สำเร็จรูปอย่างง่ายดายภายในเวลาเพียง 10 นาที และด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำในรูปแบบ pay per use อีกทั้งยังสามารถรองรับการเชื่อมต่อฟังก์ชั่นทางธุรกิจมากกว่า 30 ฟังก์ชั่น อาทิ e-commerce, communication, virtual space, streaming, gamification หรือเชื่อมต่อกับโลก Web 3.0 เพื่อสร้าง Token หรือ NFT เป็นต้น ซึ่งแพลตฟอร์มได้เริ่มเปิดให้บริการ soft launch ไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยในขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ โดยคาดว่าจะเข้าลงทุนแล้วเสร็จภายในไตรมาสนี้