Phones





NER โบรกฯส่องผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ปันผลสูง 6% แนะนำ "ซื้อ"

2023-05-17 12:50:21 195



นิวส์ คอนเน็คท์ - โบรกฯ ส่องแนวโน้ม NER คาดผลงาน Q1/66 ได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ขณะที่ราคาหุ้นเทรดบน P/E ที่ 5.8 เท่า และยังมีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง 6.9% แนะนำ "ซื้อ"

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2566 บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เผยแพร่บทวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER โดยระบุว่า คาดกำไรปกติใน 1Q66 คือจุดต่ำสุดของปี และผ่านจุด Bottom ของอุตสาหกรรมไปแล้ว คาดเริ่มเห็นการฟื้นตัวของ ASP และปริมาณขายไม่น้อยกว่า 5% QoQ ใน 2Q66 ซึ่งอาจทำให้ GPM กลับมาที่ระดับ 10% ได้ ขณะที่ ASP มีโอกาสเร่งขึ้นได้ในช่วง 2H66 เพราะคาดว่าปริมาณฝนในปีนี้จะน้อยกว่าปกติ ทำให้น้ำยางออกสู่ตลาดน้อยกว่าปกติได้ ขณะที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจฝั่งประเทศตะวันตก กระทบต่ออุปสงค์จากลูกค้าของ NER ค่อนข้างจำกัด
 
ขณะที่ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER2566 เพียง 5.8 เท่า และคาดเงินปันผลสำหรับปี 2566 ที่ 0.35บาท ให้ผลตอบแทน 6.9% สะท้อนว่าราคาตลาดตอบสนองต่อแนวโน้มกำไร 1Q66ไปมากแล้ว ขณะที่ผลประกอบการคาดฟื้นตัวขึ้นรายไตรมาส เรามองว่าผลประกอบการที่ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เป็นโอกาสสะสม คงประมาณการ คงราคาเป้าหมายที่ 7.10 บาท คงคำแนะนำ "ซื้อ"

ด้าน บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ระบุ จากแนวโน้มราคายาง, GPM และธุรกิจแผ่นยาง ที่มีแนวโน้มอ่อนแอกว่าที่เราคาดเดิม ฝ่ายวิจัยฯ จึงมีการปรับลดกำไรปี 2023-24 ลง 31% และ 28% เพื่อสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าว ได้กำไรปี 2023 ลดลง 21% yoy และจะฟื้นตัว 11.7% yoy โดยประมาณการปัจจุบบันยังไม่รวมผลจากการขยายกำลังการผลิตใหม่ในปี 2024 เข้ามาภาพรวมระยะสั้นแนวโน้มกำไรอาจโดดเด่นน้อยลง แต่ยังชดเชยได้จาก Dividend yield ที่สูงราว 6% ต่อปี จึงยังคงแนะนำ "ซื้อ"

ขณะที่ บล.พาย ระบุว่า NER รายงานกำไรสุทธิงวด 1Q23 เหลือ 314 ลบ.(-33%YoY,-15%QoQ) ได้รับผลกระทบจากการลดลงของราคายาง แม้ว่าปริมาณขายจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะที่แนวโน้มในช่วง 2Q23 คาดว่าปริมาณขายจะดีขึ้นหลังความต้องการยางจากจีนยังมีอยู่มาก รวมถึงราคาที่ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น แต่ความเสี่ยงคือผลกระทบจากภัยแล้งที่อาจจะทำให้ปริมาณยางพาราในภาคอีสานน้อยกว่าที่ประเมิณไว้ ซึ่งทำให้การขยายโรงงานใหม่ของ NER ยังอยู่ระหว่างการติดตามผลกระทบดังกล่าวอยู่

ทั้งนี้ เราปรับกำไรในปี 23 ลดลงจากเดิม 16% เหลือ 1,640 ลบ. (-6%YoY) แต่ด้วยเงินปันผลที่ยังดีอยู่ในระดับ 6-7% จึงแนะนำ "ซื้อ" เช่นเดิม

ส่วน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า แม้ปี 2566 ปริมาณขายยางจะมีแนวโน้มเติบโต YoY ตามอุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้นจากการเปิดประเทศของจีนและความต้องการยางรถ EVรวมทั้งการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ แต่กําไรปกติ 1Q66 คิดเป็นเพียง 16% ของประมาณการทั้งปี ซึ่งต่ำเกินไปมาก เนื่องจากศักยภาพทํากําไรแย่กว่าคาดมากจากราคาขายที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาดมาก เพื่อสะท้อนปัจจัยลบและยึดหลักระมัดระวัง เราจึงปรับลดประมาณการกําไรปี 2566 ลงจากเดิม 16% โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2566 NER จะมีกําไรปกติ 1,625 ลบ. หดตัว 12%YoY 

โดยกรอบราคาเป้าหมายใหม่ปี 2566 อยู่ที่หุ้นละ 4.80-5.30 บาท (อิงค่าเฉลี่ย PER เดิมที่ 5.5-6.0 เท่า) พบว่าไม่มี Upside ที่น่าสนใจแล้ว ซึ่งเมื่อบวกกับ 2Q66 คาดกําไรปกติยังมีแนวโน้มลดลง YoY ตามราคาขายยางเฉลี่ยที่ลดลง YoY จึงทําให้ขาดปัจจัยกระตุ้นการปรับขึ้นของราคาหุ้นในช่วงสั้นนี้ ดังนั้น กลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนํา “ขายหรือหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน” โดยความเสี่ยงสําคัญ คือ ความผันผวนของราคายางพารา, การถดถอยของเศรษฐกิจโลกและจีน, การแข็งค่าของเงินบาท

บล.โกลเบล็ก มีมุมมองงเป็นกลางต่อผลประกอบการ 1Q66 และแนวโน้มทั้งปี 66 โดยปัจจัยเสี่ยงของปีนี้มาจากปัญหาด้านอุปทานยางที่คาดจะตึงตัว จากปรากฏณ์เอลนีโญที่ทำให้แนวโน้มปริมาณน้ำฝนในปีนี้ต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย 5% ในรอบ 20 ปี 

ส่วนราคายางคาดผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและมีแนวโน้มปรับดีขึ้นอีก 4-5% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากความต้องการยางที่ยังเติบโตดีจากการที่จีนเปิดประเทศและเทรนด์ของ EV Car โดยผู้บริหารคงเป้าปริมาณขายทั้งปี 66 ที่ราว 5 แสนตัน +12%YoY แต่คาด GPM ทรงตัวที่ระดับ 10% ต่ำกว่าปี 65 อยู่ที่ระดับ 12% จากแนวโน้มราคาขายที่ทรงตัวในระดับต่ำ โดย Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 66 ราว 1,968 ลบ. +13%YoY และราคาเหมาะสม 7.80 บาท (อาจถูก Revised down จากการประชุมฯล่าสุด) อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปรับตัวลง 20%YTD สะท้อนผลประกอบการที่อ่อนแอไปแล้ว และปัจจุบันซื้อขายที่ PE 5.9x ต่ำกว่ากลุ่มที่ 9x) แนะนำ "ซื้อ"