Phones





SCB EIC หั่นเป้าจีดีพีเหลือโต 3.1% หลังตัวเลขศก.ไตรมาส 2 ดิ่งเหว

2023-09-13 16:16:05 106



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - SCB EIC ปรับลดจีดีพีปีนี้เหลือ 3.1% จากเดิม 3.9% หลังตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2/66 ทรุดกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ส่งออกชะลอตัวค่อนข้างมาก ขณะที่ประเมินตัวเลขจีดีพีปี 67 เติบโต 3.5% ส่วนเงินเฟ้อยังสูงที่ 2% ตามราคาอาหาร - พลังงาน จับตา Digital wallet หากทำได้จริงจะดันจีดีพีปีหน้าแตะ 5-6%
 
เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 ดร. สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจของไทยในปี 2566 เหลือ 3.1% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.9% หลังจากข้อมูลจริงไตรมาส 2 ที่ต่ำกว่าคาด และการส่งออกสินค้าที่หดตัวแรงต่อเนื่อง แต่ยังมีแรงหนุนหลักจากการบริโภคภาคเอกชน และ ภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยฟื้นตัวดีตามประมาณการ 30 ล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางที่เร่งตัว และ เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายใหม่ ส่งผลให้ภาคบริการฟื้นตัวต่อเนื่องช่วยลดความเปราะบางในตลาดแรงงาน
 
สำหรับมุมมองปี 2567 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเร่งขึ้นที่ 3.5% จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องเป็น 37.7 ล้านคน , การลงทุนภาคเอกชนที่จะขยายตัวดีขึ้นตามแนวโน้มการอนุมัติการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment) และ การส่งออกที่จะกลับมาฟื้นตัว ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่า จะมีแนวโน้มเร่งขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2566 แต่ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายอยู่ที่ 1.7% และ 2% ในปี 2566 และปี 2567 ตามลำดับ เนื่องจากราคาพลังงาน และ อาหาร มีแนวโน้มสูงขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะทรงตัวที่ 1.4% และ 1.5% ในปีนี้ และ ปีหน้า ตามลำดับ
 
ทั้งนี้ SCB EIC คาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินช่วงปลายเดือน ก.ย. สู่จุดสูงสุดของวัฏจักรดอกเบี้ย (Terminal rate) รอบนี้ที่ 2.5% ตามเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องเข้าสู่ระดับศักยภาพ และ เงินเฟ้อที่ยังมีแรงกดดันจากราคาพลังงาน และ อาหารที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงจะกลับเป็นบวกได้ ช่วยสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาวจากการสะสมความไม่สมดุลทางการเงินในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำมานาน
 
อย่างไรก็ตาม มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนสูง (Uncertain) จากแรงกดดันสำคัญ เช่น 1.เศรษฐกิจจีน เติบโตชะลอลง กระทบการส่งออกไทยบางกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดจีนสูง และ เป็นส่วนหนึ่งของ Supply chain จีน รวมถึงผลกระทบต่อ FDI จากจีนอาจชะลอลงบ้าง และอาจกระทบกำลังซื้อจากจีนในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยบาง Segments, 2.วิกฤติภัยแล้งในกรณีฐานภัยแล้งจะเกิดรุนแรงที่สุดในรอบ 41 ปี ในหลายพื้นที่
 
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาล หากออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายครั้งใหญ่ เช่น Digital wallet เศรษฐกิจไทยปีหน้าอาจขยายตัวได้เกิน 5% ชั่วคราว แต่ต้องแลกด้วยต้นทุนการคลังในระยะยาว เม็ดเงินกระตุ้นการใช้จ่ายครั้งใหญ่หลายแสนล้านบาทสามารถนำมาใช้ยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทย เพื่อหาเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากแผลเป็นหลังวิกฤตโควิด รวมถึงการปรับห่วงโซ่อุปทานโลก และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งการใช้เม็ดเงินภาครัฐจำนวนมากในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นจะบั่นทอนความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว โดยส่งผลให้หนี้สาธารณะสูงเกินเพดานหนี้ที่ 70% ของจีดีพีเร็วขึ้นประมาณ 2 ปี ซึ่งอาจจะกระทบพื้นที่การคลังเพื่อรองรับความไม่แน่นอนข้างหน้าและ เสถียรภาพการคลังของประเทศได้
 
อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองนโยบายเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าควรให้ความสำคัญกับ 1. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งใน และ นอกประเทศ รวมถึงกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ ผ่านการส่งเสริมการแข่งขันเพื่อเพิ่มประสิทธิผลจริงของ พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้าฯ และผลักดันให้ไทยเข้าร่วมองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจไทยได้รับผลประโยชน์จากการส่งออกสินค้า และ บริการมากขึ้น และ เพิ่มความสำคัญบนห่วงโซ่อุปทานโลก และ 2.การส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาวอย่างยั่งยืนผ่านการปรับโครงสร้างภาษี เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของระบบภาษีที่บิดเบือนแรงจูงใจของภาคธุรกิจ และครัวเรือน
 
“ปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจยังคงมีอยู่เห็นได้จากไส้ในของจีดีพีที่ดีก็ดีกว่าคาดมาก เช่น การบริโภคเอกชนโตถึง 6.1% ส่วนที่แย่ก็แย่กว่าที่คาดมาก เช่น การส่งออก ทำให้การฟื้นตัวที่ไม่เท่าเทียมที่มีอยู่แล้วก็จะมากขึ้น ดังนั้น การกระตุ้นระยะสั้นไม่สำคัญเท่าการปรับโครงสร้างเพื่อการเติบโตระยะยาว อย่างนโยบายของรัฐบาลที่ได้รับการพูดถึง คือ การแจกเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล คนละ 10,000 บาท (Digital wallet) ซึ่งหากสามารถทำได้จริง จากเม็ดเงินที่ใช้กว่า 5 แสนล้านบาท จะดันจีดีพีปีหน้าไปแตะ 5-6% แต่ก็จะเป็นในระยะสั้นแล้วก็จะตกลงมาที่เดิม คือ 3.5% ดังนั้นต้องมีการปรับโครงสร้างให้เราสามารถเติบโตได้ตามศักยภาพที่ 4-5% อย่างต่อเนื่องจะยั่งยืนกว่า” ดร.สมประวิณ กล่าว