Phones





บล.โกลเบล็ก จับเทรนด์ลงทุนหุ้นโค้งสุดท้ายปี 66

2023-11-21 12:49:09 12694



นิวส์ คอนเน็คท์ - บล.โกลเบล็ก ประเมินหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/66 ไปจนถึงไตรมาส 1/67 แกว่งตัวในลักษณะ Sideway Up จากตัวเลขเศรษฐกิจที่แผ่วลงของสหรัฐ หนุนคาดการณ์ FED ยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงให้กรอบสัปดาห์นี้ที่ 1,400-1,450 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้น 3 กลุ่มเด่น “หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Bond Yield ปรับตัวลง-หุ้นรับนโยบาย Digital Wallet- e-Refund-หุ้นที่มี ESG สูง และอยู่ใน SET50”

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยหุ้นในช่วงไตรมาส 4/66 ไปจนถึงไตรมาส 1/67 ว่า ยังมีแนวโน้มแกว่งตัวในลักษณะ Sideway Up โดยมีแรงหนุนจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลดลง ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน จึงคาดการณ์กรอบดัชนีสัปดาห์นี้ที่ 1,400-1,450 จุด 

ขณะที่ทิศทางดัชนีในปี 67 ทาง บล.โกลเบล็ก ให้กรอบการเคลื่อนไหวระหว่าง 1,373-1,569 จุด โดยอ้างอิง EPS ปี 67 จาก Bloomberg Consensus ที่ 98 บาท ภายใต้สมมติฐานการเติบโต GDP ปี 67 ที่ 4.40% และอิง PE Ratio 14-16 เท่า

อีกทั้งการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แผ่วลงของสหรัฐส่งผลให้คาดการณ์ว่า FED จะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อาทิ จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นสูงกว่าคาดการณ์ ตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI, PPI) ปรับขึ้นต่ำกว่าคาดการณ์ และคาดว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะจบแล้วหลังเงินเฟ้อชะลอตัว ล่าสุด แบบจำลอง GDPNow แสดงให้เห็นว่า GDP ของสหรัฐขยายตัว 2.2% ในไตรมาส 4/2566 หลังจากมีการขยายตัว 2.2%, 2.1% และ 4.9% ใน ไตรมาส 1, 2 และ 3 ตามลำดับ ขณะที่ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 49.8% ที่ FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเดือน พ.ค. 67 จากเดิมที่ให้น้ำหนักเพียง 32.1% เร็วขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย. 67

นอกจากนี้ ทางโกลด์แมน แซคส์ คาดว่า เศรษฐกิจโลกปี 67 อาจเติบโตได้ดีกว่าที่คาดไว้ ภาคการผลิตจะฟื้นตัว การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะหมดไป และรายได้ที่แท้จริงเติบโตแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับ Consensus ได้ประมาณการ GDP ปี 67 เติบโตประมาณ 3-4% ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 67 ส่วนที่อาจเติบโตดีกว่าคาดการณ์ มีตัวแปรจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ขณะที่กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยเป้าหมายการส่งออกของไทยในปี 67 เบื้องต้นเพิ่มขึ้น 1.99% โดยต้องรอตัวเลขการส่งออกทั้งปีของปี 66 ทั้งนี้ในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้จะยังขยายตัวเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าการส่งออกทั้งปีจะติดลบราวไม่เกิน 1% น้อยกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้

ส่วนปัจจัยลบที่จะมีผลกับตลาดหุ้นไทย อาทิ เศรษฐกิจจีนมีความเสี่ยงชะลอตัวจากผลกระทบของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีสัดส่วน 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจจีน และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์จากความขัดแย้งของอิสราเอล-กลุ่มฮามาส รัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งความกังวลต่อปัญหาหนี้สาธาราณะต่อ GDP มีแนวโน้มสูงขึ้นจากแผนกู้เงินมาใช้ในโครงการดิจิตัลวอลเล็ต ณ ปลายเดือน ก.ย. 66 ประเทศไทยมียอดหนี้สาธารณะต่อ GDP เท่ากับ 62% เทียบกับเพดานหนี้อยู่ที่ 70% และภาระหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง โดยมีปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ การประชุม กนง. ครั้งที่ 6/66 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของปีในวันที่ 29 พ.ย.นี้ ต่อด้วย ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย และปัจจัยต่างประเทศ อาทิ เช้าวันที่ 22 พ.ย. คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุมวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย. วันที่ 24 พ.ย. ประชุม OPEC+ วันที่ 12-13 ธ.ค. กำหนดการประชุม FED ครั้งสุดท้ายของปี 66 ทั้งนี้ กำหนดการประชุม FED ในปี 67 รวม 8 ครั้งในวันที่ 31 ม.ค. 67-1 ก.พ., 21-22 มี.ค., 2-3 พ.ค, 13-14 มิ.ย., 25-26 ก.ค., 19-20 ส.ค., 31 ต.ค.-1 พ.ย. และ 12-13 ธ.ค.
ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนใน 3 กลุ่มเด่น อาทิ 1. หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Bond Yield ปรับตัวลงเนื่องจากคาดว่า FED ยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ TIDLOR, SAWAD และ MTC, 2. หุ้นที่ได้ประโชย์จากนโยบาย Digital Wallet และ e-Refund ได้แก่ BJC, CPALL, CPAXT, CRC, CPN, COM7, SPV\I, CPW, JMART, HMPRO, DOHOME, GLOBAL, ZEN, M, AU, TNP และ KK, 3. หุ้นที่ได้รับการประเมินว่ามี ESG สูง และอยู่ใน SET50 ได้แก่ ADVANC, CPALL, CPF, CRC, OR, PTTEP และ TOP