Phones





PTG โบรกฯ ประเมิน 'ขึ้นค่าแรง' กระทบจำกัด คงเป้าซื้อ 10.20 บ.

2024-01-02 11:18:47 229



นิวส์ คอนเน็คท์ - บล.หยวนต้า ส่อง PTG คาดได้รับผลกระทบในวงจำกัด จากกรณี ครม.มีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสำหรับปี 67 เป็น 330-370 บาท/วัน จากเดิม 328-354 บาท/วัน พร้อมทั้งคาดกำไรปกติ Q4/66 ที่ระดับ 400 ล้านบาท เป็นจุดสูงสุดของปี หลังได้แรงหนุนจากปริมาณขายที่มีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสที่ราว 1,540-1,570 ล้านลิตร และค่าการตลาดน้ำมันที่มีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับ 1.80-1.90 บาท/ลิตร คงราคาเหมาะสมสิ้นปี 67 ที่ 10.20 บาท/หุ้น มี Upside 16.6% แนะนำ “ซื้อ”

เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2567 ผู้สื่อข่าว "นิวส์ คอนเน็คท์" รายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) เผยแพร่บทวิเคราะห์ ประเมินแนวโน้ม บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสำหรับปี 2567 เป็น 330-370 บาท/วัน จากเดิม 328-354 บาท/วัน หรือเฉลี่ยราว 2.4% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 67 เป็นต้นไป โดยประเมินว่าประเด็นดังกล่าวจะส่งผลระทบจำกัดต่อ PTG ซึ่งจากการประเมินเบื้องต้น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยทุก 10 บาท/วัน จะส่งผลให้ค่าใช้จ่าย SG&A ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นราว 42 ล้านบาท/ปี (อิงสมมติฐานปริมาณขายน้ำมันมันรวมในปี 67 ที่ 6 พันล้านลิตร) ดังนั้น หากอิงค่าเฉลี่ยค่าแรงขั้นต่ำก่อนและหลังการปรับขึ้นในเดือน ม.ค. 67 ที่ 337 บาท/วัน และ 345 บาท/วัน คาดส่งผลกระทบต่อกำไรของ PTG ราว 34 ล้านบาท/ปี หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 2.5% ของกำไรปี 67 จึงไม่มีนัยสำคัญต่อกำไรปี 67

ในกรณีภาครัฐมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยเป็น 400 บาท/วัน ในปี 67 คาดส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทฯ ราว 268 ล้านบาท/ปี อย่างไรก็ตาม ค่าการตลาดน้ำมันที่มีแนวโน้มฟื้นตัวจากปีก่อน หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลง (ส่งผลให้ภาครัฐมีการแทรกแซงราคาน้อยลง) จะสามารถชดเชยผลกระทบได้ (โดยคาดค่าการตลาดน้ำมันปี 67 ฟื้นตัวมาที่ระดับ 1.75 บาท/ลิตร จากราว 1.70 บาท/ลิตร ในปี 66

สำหรับประเด็นการเปลี่ยนมาจำหน่ายน้ำมันยูโร 5 ตามแนวทางการแก้ไขปัญหา PM2.5 ของกระทรวงพลังงาน เริ่มต้นวันที่ 1 ม.ค. 67 จากการประเมินเบื้องต้น ในกรณีที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ได้เข้ามาอุดหนุนราคาน้ำมันมันดีเซลเพิ่มเติม ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้ต้นทุนน้ำมันมันของบริษัทฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นและเป็นปัจจัยกดดันค่าการตลาดน้ำมันมันในระยะสั้น (ต้นทุนสูงขึ้นแต่ราคาขายยังคงถูกตรึงไว้ที่ 30 บาท/ลิตร) แต่ในระยะกลาง-ยาว คาดส่งผลกระทบจำกัดต่อค่าการตลาดน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวลง YoY จะส่งผลให้ต้นทุนน้ำมันมันยูโร 5 มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน

เบื้องต้นคาดกำไรปกติ Q4/66 ที่ระดับ 400 ล้านบาท +/- ฟื้นตัว YoY และ QoQ รวมถึงเป็นจุดสูงสุดของปี หลังได้แรงหนุนจากปริมาณขายที่มีโอกาสท าระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสที่ราว 1,540-1,570 ล้านลิตร ตามปัจจัยฤดูกาลและค่าการตลาดน้ำมันมันที่มีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับ 1.80-1.90 บาท/ลิตร (เทียบกับ 1.58 บาท/ลิตร ใน Q4/65 และ 1.67 บาท/ลิตร ใน Q3/66)

คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 67 ที่ 10.20 บาท/หุ้น มี Upside 16.6% โดยมองว่าราคาปัจจุบันที่ซื้อขายบน PER2567 ที่ราว 10.8เท่า (ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี-1.8SD) ได้สะท้อนความเสี่ยงจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและการเปลี่ยนมาจำหน่ายน้ำมันยูโร 5 ไปมากแล้ว นอกจากนี้ ผลประกอบการที่คาดผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และอยู่ระหว่างการฟื้นตัวจะเป็นปัจจัยที่ช่วยจำกัด Downside ของราคาหุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ”