Phones





BEAUTY โชว์รายได้ปี 66 โต 20% ส่องธุรกิจปีนี้เทิร์นอะราวด์

2024-02-28 14:18:13 210



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - BEAUTY เผยผลประกอบการปี 66 รายได้รวม 441 ล้านบาท เติบโต 20% ขาดทุนสุทธิ 45.7ล้านบาท ลดลง 32.5% แนวโน้มธุรกิจปี 67 ตั้งเป้าเทิร์นอะราวด์ มุ่งปรับกลยุทธ์ทางการตลาดควบคู่กับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเพิ่มรายได้ให้ทุกช่องทางการขาย บริหารจัดการต้นทุนเพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้นของสินค้า
 
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 นายพิศาล ธาราพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) BEAUTY เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2566 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 441 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 365.5 ล้านบาท ขาดทุนทางบัญชีสุทธิ 45.7 ล้านบาท ลดลง 32.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 67.7 ล้านบาท โดยผลขาดทุนทางบัญชีสุทธิ 45.7 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจซึ่งเป็นการจ่ายครั้งเดียวที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (Non-routine expenses) จำนวน 25.5 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยการตั้งค่าเผื่อบรรจุภัณฑ์เสื่อมสภาพ (Stock Provision) 10.9 ล้านบาท กลับรายการสำรองสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีสำหรับรายการขาดทุนทางภาษีที่ยังไม่ได้ใช้ 7.2 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายชดเชยพนักงานจากการปรับฐานกำลังคน 4.9 ล้านบาทและค่าใช้จ่ายจากการปิดสาขาที่ไม่มีประสิทธิภาพในการทำกำไร 2.5 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทมีผลประกอบการจากการดำเนินงานในปี 2566 ขาดทุนอยู่ที่ 20.1 ล้านบาท
 
ทั้งนี้ การปรับตัวดีขึ้นของผลประกอบการในปี 2566 ทั้งรายได้รวมที่เพิ่มขึ้น และมีผลขาดทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัทมีการพัฒนาด้านการตลาดและผลิตภัณฑ์ใหม่กลุ่ม BEAUTY & WELLNESS ซึ่งตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพมีกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ อีกทั้งกำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศฟื้นตัวต่อเนื่อง การปรับโครงสร้างการขายและบริหาร ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นและต้นทุนลดลง
 
นอกจากนี้ ปัจจัยหลักสำคัญในการผลักดันการเติบโตในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย ได้แก่ 1.ช่องทางร้านค้าปลีก BEAUTY BUFFET ยอดขายเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากการปรับปรุงร้านค้าปลีกรูปแบบใหม่ในทำเลศักยภาพ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยว โดยมีร้าน BEAUTY BUFFET SHOP รูปแบบใหม่รวม 9 แห่ง ส่งผลให้สิ้นปีมีสาขารวมทั้งสิ้น 47 สาขา, 2.ช่องทางต่างประเทศ ยอดขายเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากกำลังซื้อต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะคำสั่งซื้อจากลูกค้าในประเทศจีนที่ทยอยกลับมา ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม BEAUTY & WELLNESS ซึ่งตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ มีกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ อีกทั้งช่องทางการจำหน่ายใหม่เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายเติบโตขึ้น โดยปัจจุบันตลาดต่างประเทศมีสินค้าวางจำหน่ายใน 12 ประเทศ
 
3.ช่องทางอีคอมเมิร์ช ยอดขายเพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากการเพิ่มความสามารถการนำฐานข้อมูลลูกค้าเก่าและใหม่มาใช้มากขึ้น เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมความสนใจผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน และพัฒนาแพลตฟอร์มและแคมเปญการตลาดให้มีความหลากหลายทั้งในเว็บไซต์ของ BEAUTY BUFFET และ Market Place ชั้นนำ ประกอบกับทำการตลาดใน Social Media เน้นการขายสินค้าโดย Affiliate Marketing และ Drop Ship อาทิ TIKTOK และการ Live Streaming ในเฟสบุ๊คเพจของ BEAUTY BUFFET เพิ่มช่องทางการชำระเงินผ่าน Line Pay และได้เปิดตัวแอปพลิเคชั่น "Beauty Buffet Club" ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า ซึ่งเป็นศูนย์รวมข่าวสารและโปรโมชั่นพิเศษสำหรับสมาชิก รวมถึงสะสมแต้มเพื่อแลกส่วนลดจากแบรนด์ชั้นนำที่ร่วมรายการ เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของลูกค้าสมาชิกที่มีอยู่กว่า 3 ล้านราย อีกทั้งกำลังซื้อจากต่างประเทศในช่องทาง Ecommerce ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน
 
4.ช่องทางโมเดิร์นเทรด ยอดขายเพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ช่องทาง Modern Trade อาทิ King Power ซึ่งเป็นช่องทางจำหน่ายที่มีนักท่องเที่ยวจีนมาซื้อเริ่มมีแนวโน้มที่ดี อีกทั้งการขยายช่องทางสินค้าอุปโภค (Consumer Product) เช่น บิ๊กซี โลตัส ท็อปส์ วัตสัน CJ Express เป็นต้น และเจอร์เนอร์รัลเทรด กระจายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายไปสู่ร้านค้าปลีกในระดับอำเภอ โดยปรับรูปแบบสินค้าให้มีขนาดและราคาที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ ความต้องการของผู้บริโภค และคัดเลือกตัวแทนจำหน่ายที่มีศักยภาพในพื้นที่ต่างๆ โดยสิ้นปีนี้มีจำนวนรวม 3,219 จุดจำหน่าย
 
สำหรับแนวโน้มธุรกิจปี 2567 คาดว่าผลประกอบการจะมีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ และตั้งเป้าหมายจะพลิกกลับมามีกำไรในปีนี้ โดยบริษัทจะมุ่งเน้นชู 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.เพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ (Business Performance), 2. บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ (Cost Efficiency) และ 3.เพิ่มความสามารถบุคคลากร (People) พร้อมเดินหน้าพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายทุกรูปแบบ ขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาธุรกิจให้กลับมาแข็งแกร่ง