Phones
หน้าแรก
Stock
เศรษฐกิจมหภาค
แบงก์ - Finance
อสังหาริมทรัพย์ - Marketing
ประกัน - ท่องเที่ยว
Variety
สกู้ป พิเศษ
SET
TIDLOR คาดปีนี้กำไร 4.6 พันล. โบรกฯ อัพเป้า 22.50 บ. - STECH เข็นรายได้ปี 68 โต 5%
MAI
FVC ปักธงรายโต 25% กางแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง
IPO
TURBO เตรียมขาย IPO ไม่เกิน 537 ล้านหุ้น
บล./บลจ
บล. หยวนต้า จับมือ Finnomena เปิดตัว “Definit Select”
เศรษฐกิจ-การเงิน-การคลัง
กรุงศรี ประเมินเงินบาทซื้อขายในกรอบ 32.00-32.65 จับตาข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯ
การค้า - พาณิชย์
DFT เยือนถิ่นอีสาน... จัดงาน “TRC 2025 สัญจร” ครั้งที่ 6
พลังงาน - อุตสาหกรรม
PQS จับมือญี่ปุ่น พัฒนาโครงการ ‘แป้งมันสำปะหลังคาร์บอนต่ำ'
คมนาคม - โลจิสติกส์
ITEL ตอกย้ำพันธกิจ ESG คว้าใบรับรอง I-REC จากอินโนพาวเวอร์
แบงก์ - นอนแบงก์
KBANK เปิดบริการเชื่อมต่อระบบรับชำระเงินขนส่งสาธารณะ
ไฟแนนซ์ - ลิสซิ่ง
กรุงศรี ออโต้ ปักธง “GO Auto Station” หนุนสินเชื่อครึ่งปีหลังเร่งตัว
SMEs - Startup
KGP ผนึกกำลังพันธมิตร เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘FareOK’
ประกันภัย - ประกันชีวิต
คปภ. ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครอง พ.ร.บ. สูงสุด 20 ล้านบาท
รถยนต์
“กรุงศรี ออโต้” เปิดเทคนิคตรวจเช็กรถมือสอง เช็กจุดสำคัญก่อนตัดสินใจ
ท่องเที่ยว
พรูเด็นเชียลฯ ร่วมสนับสนุน ซีนิคฮาล์ฟมาราธอนระยอง
อสังหาริมทรัพย์
ทีมผู้บริหาร BAM ยกทัพลงพื้นที่เยี่ยมชม สนง.หาดใหญ่
การตลาด
Smarthome ฉลองครบรอบ 12 ปี ปั๊มยอดขายสู่ 2พันล.
CSR
KGP ผนึกกำลังพันธมิตร เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘FareOK’
Information
ตลท. ชวนร่วมสนุกตอบคำถาม “Happy Money App ตอบปั๊บ รับเลย”
Gossip
EURO โชว์ผลงาน Q2/68 กวาดกำไร 35 ลบ.
Entertainment
ตลท. จัดโครงการ ESG DNA ปีที่ 2
สกุ๊ป พิเศษ
"รุ่ง-วิทัย" ใครจะเข้าวิน ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ
GULF รับรู้ Core Profit ไตรมาส 1/67 จำนวน 4,152 ล้านบ. โต 13%
2024-05-09 17:49:49
175
sharer
นิวส์ คอนเน็คท์ - GULF รับรู้ Core Profit ไตรมาส 1/67 จำนวน 4,152 ล้านบาท เติบโต 13% จากรายได้รวม 32,280 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% มุ่งหน้าเพิ่มการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน เพื่อต่อยอดอนาคตธุรกิจ Data center, Cloud และ AI ปักธงรายได้ปีนี้เติบโต 25-30%
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF โดย นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 โดยมีรายได้รวม (Total Revenue) อยู่ที่ 32,280 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จาก 26,994 ล้านบาทในไตรมาส 1/2566 และมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) อยู่ที่ 4,152 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จาก 3,668 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ มีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โดยโครงการกัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD กำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 1 และ 2 (กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,325 เมกะวัตต์) ไปเมื่อเดือนมีนาคมและตุลาคม 2566 อีกทั้งโครงการโรงไฟฟ้าหินกอง (HKP) กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,540 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 1 (กำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์) ไปเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้ GULF รับรู้กำไรจากการดำเนินงานเต็มไตรมาสของ GPD หน่วยที่ 1 และ 2 และเริ่มรับรู้ผลกำไรจาก HKP หน่วยที่ 1 ในไตรมาสนี้
นอกจากนี้ GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากกลุ่ม GJP ในไตรมาส 1/2567 จำนวน 542 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากโรงไฟฟ้า SPP 7 โครงการมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญคือจาก 469 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 1/2566 เป็น 351 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาสนี้ ถึงแม้โรงไฟฟ้า GNS ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม GJP มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ (Major Inspection) ในระหว่างไตรมาส 1/2567 นี้
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโรงไฟฟ้า SPP 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีผลการดำเนินงานที่ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะกำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นจากค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ลดลงถูกชดเชยจากโรงไฟฟ้าในกลุ่มที่หยุดซ่อมบำรุงใหญ่ (C-Inspection) นอกจากนี้ GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการโรงไฟฟ้า DIPWP ในประเทศโอมานจำนวน 193 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 29% จากไตรมาส 1/2566 ซึ่งเป็นผลจากปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าและน้ำจืดของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นด้วย
ในส่วนของธุรกิจพลังงานหมุนเวียน GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ในประเทศเยอรมนี จำนวน 235 ล้านบาทในไตรมาส 1/2567 เพิ่มขึ้น 54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากความเร็วลมเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจาก 10.5 เมตร/วินาที ในไตรมาส 1/2566 เป็น 11.0 เมตร/วินาที ในไตรมาสนี้ อีกทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ภายใต้ GULF1 ได้ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 มีกำลังการผลิตที่เปิดดำเนินการแล้วจำนวน 113 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกชดเชยจากส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul จากความเร็วลมเฉลี่ยที่ลดลงจาก 5.8 เมตร/วินาที ในไตรมาส 1/2566 เป็น 4.8 เมตร/วินาที ในไตรมาส 1 ปีนี้ ประกอบกับค่า Ft เฉลี่ยของโครงการในไตรมาสนี้ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2566
ในส่วนของธุรกิจก๊าซนั้น ในไตรมาส 1/2567 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จาก PTT NGD จำนวน 211 ล้านบาท ซึ่งพลิกจากผลขาดทุนจำนวน 177 ล้านบาทในไตรมาส 1/2566 สาเหตุหลักมาจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ราคาน้ำมันเตาสูงขึ้นจาก 65.5 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาส 1/2566 เป็น 72.4 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาสนี้ ซึ่งราคาขายส่วนใหญ่ของโครงการ PTT NGD จะอิงกับราคาน้ำมันเตา ในขณะที่ต้นทุนจะขึ้นอยู่กับราคาก๊าซธรรมชาติ
สำหรับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน GULF บันทึกรายได้ค่าก่อสร้างตามสัญญาสัมปทาน สำหรับงานถมทะเลของโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 จำนวน 1,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ค่าก่อสร้างดังกล่าว เติบโตขึ้นตามความคืบหน้าในการพัฒนาโครงการ ซึ่งโครงการนี้ มีกำหนดถมทะเลแล้วเสร็จภายในปี 2567 หลังจากนั้น กลุ่มบริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG terminal) ต่อไป
ในไตรมาส 1/2567 นี้ GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากการลงทุนใน INTUCH จำนวน 1,575 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 329 ล้านบาท หรือ 26% จาก 1,247 ล้านบาทในไตรมาส 1/2566 โดยสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการของ AIS ที่ดีขึ้นจากจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้น เน้นขายแพ็คเกจที่มีมูลค่าเพิ่ม เป็นผลให้รายได้เพิ่มขึ้น ประกอบกับการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ GULF มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 1/2567 จำนวน 9,427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับ 8,143 ล้านบาทในไตรมาส 1/2566 ในขณะที่กำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 3,499 ล้านบาท ลดลง 9% จาก 3,850 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2566 โดยมีสาเหตุมาจากการรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง เนื่องจากค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงจาก 34.39 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 4/2566 เป็น 36.63 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 GULF มีสินทรัพย์รวม 472,868 ล้านบาท หนี้สินรวม 324,563 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 148,306 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.70 เท่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.69 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากการเบิกเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นางสาวยุพาพิน กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงประมาณการการเติบโตของรายได้รวมในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 25-30% จากโครงการที่ทยอยเปิดดำเนินการในปีนี้ ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GPD หน่วยที่ 3 (662.5 เมกะวัตต์) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตามกำหนด และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ HKP หน่วยที่ 1 (770 เมกะวัตต์) ก็ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตามกำหนดเรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน สำหรับโครงการ GPD หน่วยที่ 4 (662.5 เมกะวัตต์) มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 31 ตุลาคม 2567 นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจก๊าซ HKH ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่บริษัทฯ ถือหุ้น 49% ได้เริ่มนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันแล้วจำนวน 190,000 ตัน เพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า HKP หน่วยที่ 1 อีกทั้งมีแผนจะนำเข้าเพิ่มเติมอีกประมาณ 450,000 ตัน ในช่วงที่เหลือของปีนี้
ปัจจุบัน GULF ให้ความสำคัญกับการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ และพลังงานขยะ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายของบริษัทฯ ในการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (Net Zero Carbon Emissions) โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งจากพลังงานหมุนเวียนที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนารวมทั้งสิ้นประมาณ 8,500 เมกะวัตต์ ใน 5 ประเทศ และมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า 3,000 เมกะวัตต์ เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องการใช้พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพัฒนาธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งปัจจุบันความต้องการใช้ Data Center เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะภาคองค์กรธุรกิจที่กำลังขับเคลื่อนเข้าสู่ Digital Transformation โดยการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ และการใช้งานด้าน Artificial Intelligence (AI) เป็นปัจจัยสนับสนุนให้องค์กรในประเทศและไฮเปอร์สเกลเลอร์ (Hyperscalers) ที่เข้ามาสู่ตลาดในประเทศไทย มีความต้องการจัดเก็บและจัดการข้อมูลมากขึ้น ทั้งนี้ ธุรกิจ Data Center ของกลุ่มบริษัทมุ่งเน้นไปที่การใช้พลังงานสะอาด ซึ่งแบ่งเป็น 2 เฟส เฟสละประมาณ 24-25 เมกะวัตต์ รวมเป็นประมาณ 50 เมกะวัตต์ โดยเฟสที่ 1 อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการประมาณเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งการนำพลังงานสะอาดมาใช้ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลดังกล่าว จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมในโลกดิจิทัลที่พัฒนาอย่างรวดเร็วต่อไป
TIDLOR คาดปีนี้กำไร 4.6 พันล. โบรกฯ อัพเป้า 22.50 บ. - STECH เข็นรายได้ปี 68 โต 5%
CIVIL แจงเหตุงดลงนามสัญญารถไฟความเร็วสูง
TSE โชว์รายได้ Q2/68 ที่ 686 ล้าน
WSOL ปรับทัพครั้งใหญ่ เดินหน้ารุกธุรกิจทางการเงิน
STECH ตุน Backlog กว่า 700 ลบ. หนุนรายได้โต 5%
ตลท. กางงบ 6 เดือน บจ.กำไร 5.9 แสนล. - BBL โบรกฯ คาดปันผลปีนี้ 8.50 บ.