Phones





CHAO เปิดเทรดเหนือจอง ปักธงพาแบรนด์ไทยสู่ระดับ Global

2024-07-09 13:55:07 244



นิวส์ คอนเน็คท์ - CHAO เทรดวันแรกใน SET ราคาเปิดซื้อขาย 14.70 บาท จากราคา IPO หุ้นละ 11.80 บาท ชูศักยภาพผู้นำตลาดขนมขบเคี้ยวไทยรูปแบบใหม่ (Modern Thai Snack) ปักธงพาแบรนด์ไทยเติบโตสู่ตลาดระดับ Global

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 บริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ CHAO หนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ ภายใต้แบรนด์ “เจ้าสัว” และแบรนด์ “โฮลซัม (Wholesome)” เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (AGRO) หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (FOOD) โดยราคาเปิดซื้อขายที่ 14.70 บาท จากจาก IPO หุ้นละ 11.80 บาท โดยระหว่างการซื้อขายในช่วงเช้า ราคาขึ้นไปทำระดับสูงสุด 15.30 บาท และต่ำสุด 13.70 บาท 

นางสาวณภัทร โมรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CHAO เปิดเผยว่า หนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ ภายใต้แบรนด์ “เจ้าสัว” และแบรนด์ “โฮลซัม (Wholesome)” เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางเป้าหมายสร้างการเติบโตสู่ตลาดระดับโลกในการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ ‘เจ้าสัว’ และ ‘โฮลซัม’ ไปสู่ Global Brand ภายใต้แนวคิด ‘Bring Local to Global’ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด รักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยวไทยรูปแบบใหม่ (Modern Thai Snack) ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเดินหน้าขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

“การนำ CHAO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เชื่อว่าจะสามารถช่วยส่งเสริมการเติบโต จากความพร้อมด้านเงินทุนและการขยายกำลังการผลิต โดยเตรียมเดินหน้าสร้างโรงงานโฮลซัมแห่งที่ 2 พร้อมยกระดับระบบปฏิบัติการอัตโนมัติ (Automation) เพื่อรองรับศักยภาพการขยายไปสู่ตลาดระดับโลก พร้อมมุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รักษาสถานะผู้นำตลาดข้าวตังและขนมขบเคี้ยวที่ทำจากเนื้อหมู และขยายการผลิตสินค้าใหม่ๆ ตอบรับเทรนด์การบริโภคในปัจจุบันและในอนาคต พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับสังคม สิ่งแวดล้อม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุนในระยะยาว” นางสาวณภัทร กล่าว

นางสาวอินทุอร โมรินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน หรือ CHAO กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งทั้งรายได้และกำไรสุทธิ โดยในปี 2564 2565 และ 2566 มีรายได้จากการขายที่ 1,135.1 ล้านบาท 1,413.6 ล้านบาท และ 1,493.4 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 14.7% ต่อปี ด้านกำไรสุทธิในปี 2564 2565 และ 2566 ทำได้ 64.4 ล้านบาท 86.6 ล้านบาท และ 161.6 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 58.4% และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ 5.6% 6.1% และ 10.7% ตามลำดับ โดยกำไรสุทธิของบริษัทฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขาย การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale)

ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสที่ 1/2567 มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 336.2 ล้านบาท เติบโต 4.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1/2566 จากการเติบโตของกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว (Snack) ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2567 เท่ากับ 26.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1/2566 สะท้อนผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการดำเนินตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ การขยายตลาดและฐานลูกค้า รวมทั้งการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ กล่าวว่า CHAO ถือเป็นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีศักยภาพพร้อมเติบโต ที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ด้วยจุดเด่นการเป็นผู้นำในตลาดขนมขบเคี้ยวไทยรูปแบบใหม่ (Modern Thai Snack) ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มข้าวตัง (78.5% ในปี 2565) และขนมขบเคี้ยวที่ทำจากเนื้อหมู (57.2% ในปี 2565) มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม รวมถึงมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องภายใต้แนวคิด Better-for-You Snack เพื่อให้ตอบโจทย์เทรนด์การบริโภคในปัจจุบัน มีแบรนด์เจ้าสัวที่เป็นที่นิยม และได้รับความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพตามมาตรฐานสากล มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย รวมทั้งมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมายาวนานกว่า 66 ปี สะท้อนผ่านความสามารถในการทำกำไร และมีแผนการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจที่ชัดเจน 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ในช่วงเติบโต หรือจัดเป็น Growth Stock จากการอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพเติบโต