Phones





MEDEZE เคาะ IPO 9 บาท/หุ้น คาดเข้าเทรด SET 15 ต.ค.นี้

2024-10-01 14:10:53 71



นิวส์ คอนเน็คท์ - MEDEZE แต่งตั้ง บล. หยวนต้า เป็นอันเดอร์ไรท์เตอร์ เคาะราคา IPO ที่ 9 บาท/หุ้น เสนอขาย 268 ล้านหุ้น จองซื้อ 2 - 4 ต.ค. 67 ปลื้มโรดโชว์ที่ตลท.นักลงทุนให้การตอบรับดี โชว์พื้นฐานธุรกิจแกร่ง ศักยภาพการเติบโตสูง คาดเข้าซื้อขาย SET วันแรก 15 ต.ค. 67

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE เปิดเผยว่า MEDEZE ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก หรือ IPO สำหรับการเสนอขายหุ้น IPO ของ MEDEZE ในครั้งนี้จำนวน 268 ล้านหุ้น ได้มีการกำหนดราคาหุ้น MEDEZE ที่จะเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป โดยใช้วิธีการทำสำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book Building) ของนักลงทุนสถาบันทั้งไทย และต่างประเทศ 

โดยมีราคาเสนอขายที่ 9 บาทต่อหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น หรือ Price to Earnings Ratio : P/E เท่ากับ 35.55 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากกำไรสุทธิในรอบ 4 ไตรมาสย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ซึ่งเท่ากับ 270.40 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ หรือ Fully Diluted ซึ่งเท่ากับ 1,068,000,000 หุ้น จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.25 บาทต่อหุ้น โดยนักลงทุนสามารถจองซื้อหุ้นได้ในระหว่างวันที่ 2 - 4 ตุลาคม 2567 และคาดว่าจะเข้าทำการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายใน 15 ต.ค. 2567

ขณะที่การนำเสนอข้อมูลกับนักลงทุน ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานครในวันที่ 1 ต.ค. 67 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน จากพื้นฐานธุรกิจซึ่งมีความแข็งแกร่ง เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม และแผนในการขยายธุรกิจในอนาคตที่ชัดเจน รวมถึงธุรกิจกำลังอยู่ในวัฏจักรขาขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน MEDEZE มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 400 ล้านบาท คิดเป็น 800 ล้านหุ้นเพื่อจะนำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนครั้งแรกในครั้งนี้ เป็นการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 268 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หรือพาร์หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นร้อยละไม่เกิน 25.09% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออก และเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ ประเทศไทย (SET) ในหมวดธุรกิจบริการ (SERVICE) / การแพทย์ (HELTH)

นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ให้บริการตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และรับฝากเซลล์ต้นกำเนิด หรือ Stem Cells และตรวจศักยภาพเซลล์ภูมิคุ้มกัน หรือ NK Cells มีประสบการณ์ในการดำเนินเนินธุรกิจมาต่อเนื่องมามากกว่า 14 ปี ให้บริการครอบคลุมการจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดในระยะยาว ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยดำเนินการผ่านบริษัทย่อยจำนวน 5 บริษัท ได้แก่ (1) บริษัท เมดีซ เอ็นเค จำกัด ดำเนินธุรกิจการให้บริการทดสอบศักยภาพเซลล์ภูมิคุ้มกัน หรือ NK Cells (2) บริษัท เมดีซ คอสเมซูติคอล จำกัด ดำเนินธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงามภายใต้ตราสินค้า DAA และอาหารเสริม (3) บริษัท เมดีซวิจัยและพัฒนา จำกัด ดำเนินธุรกิจวิจัยและพัฒนาเชิงทดลองด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (4) Medeze Treasury Pte. Ltd. ดำเนินธุรกิจเป็นบริษัทเพื่อการลงทุน (Investment Company) โดยเป็นบริษัทที่ถือครองและบริหารตราสินค้าของกลุ่มบริษัทฯ และ (5) Medeze Group Pte. Ltd. ดำเนินธุรกิจวิจัยและพัฒนาเชิงทดลองด้านเทคโนโลยีชีวภาพ

โดยภายหลังจากการระดมทุน MEDEZE มีแผนที่จะลงทุนขยายธุรกิจด้านเซลล์รากผม หรือ Hair Follicle Cell Bank ด้วยการพัฒนานวัตกรรมเซลล์จากรากผม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในการช่วยบรรเทาปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเส้นผม และหนังศีรษะ ที่มีแนวโน้มจะพบเจอมากขึ้นในกลุ่มผู้สูงวัย และลงทุนติดตั้งระบบการจัดเก็บเซลล์ด้วยหุ่นยนต์ หรือ Robotic Cell Culture System ซึ่งเป็นนวัตกรรมขั้นสูงและล้ำสมัยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ทำให้กระบวนจัดเก็บมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ลดความผิดพลาดของบุคคล และลดความเสี่ยงจากตัวแปรที่มาจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ยกระดับความน่าเชื่อถือทัดเทียมกับผู้ประกอบการชั้นนำทั่วโลก สามารถดึงดูดลูกค้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศได้มากขึ้น

ในขณะที่ผลการดำเนินงานของ MEDEZE ในปี 2564-2566 มีรายได้รวม 446.41 ล้านบาท 595.70ล้านบาท และ 701.81 ล้านบาทตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 112.06 ล้านบาท 147.19 ล้านบาท และ 239.57 ล้านบาท ตามลำดับ