Phones





"อัสสเดช" มั่นใจหุ้นไทยไตรมาส 4/67 มีแววฟื้นตัว

2024-10-02 16:30:10 2711



นิวส์ คอนเน็คท์ - ตลท. เปิดตัวกรรมการและผู้จัดการคนใหม่ "อัสสเดช คงสิริ" พร้อมแผนโยบายขับเคลื่อนตลาดทุนไทย "เพื่อส่วนรวมและความเท่าเทียม" รุกหารือ ก.ล.ต. เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในการรับข้อมูลข่าวสารของนักลงทุน รวมถึงบทบาทในการติดตาม เฝ้าระวังมาตรการการลงทุนต่างๆ ชี้มาตรการ Up Stick rule ลดสัดส่วนหุ้นถูก Short Sell ลงจาก 13-14% เหลือ 3-4% ของวอลุ่มเทรดแต่ละวัน คาดทิศทางตลาดหุ้นไทยไตรมาส 4/67 มีแววฟื้นตัวต่อ จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยเริ่มขึ้น รัฐบาลมีเสถียรภาพ ออกมาตรการทั้งกองทุน TESG และกองทุนรวมวายุภักษ์หนุน

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2567 นายอัสสเดช คงสิริ กรรมาการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คนที่ 14 เปิดเผยในงาน Meet the Press ภายหลังการเข้ารับตำแหน่ง ว่า ปัจจุบันทีมงานอยู่ระหว่างเตรียมแผนงานเสนอที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศแผนกลยุทธ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 68-70) ได้ในช่วงปลายเดือน พ.ย.67 

ส่วนแผนของการพัฒนาตลาดทุน ภายหลังจากการเข้าดำรงตำแหน่ง มี 5 ด้าน ได้แก่ 1.สมดุลเท่าเทียม (Fairness) , 2.เข้าถึง ทั่วถึง (Inclusiveness) , 3.ตอบโจทย์อนาคต แข่งขันได้ (Re-imagine) , 4.รับโอกาสและความท้ายจากกระแสความยั่งยืน (Sustainability) และ 5.เสริมความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย (Trust & Confidence)

ขณะเดียวกัน วิสัยทัศน์การทำงานในฐานะผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนใหม่ จะมุ่งพัฒนาและสร้างโอกาสการลงทุนในตลาดทุนไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะการพัฒนาการลงทุน เพื่อส่วนรวมและความเท่าเทียม สร้างโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลทั้งนักลงทุน และภาคธุรกิจ ผ่านผลิตภัณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์จัดทำออกมาอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของการยกระดับตลาดทุนไทยให้มีความเท่าเทียมนั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการลงทุน ซึ่งนักลงทุนต้องเข้าถึงได้ง่ายและมีความเท่าเทียมกัน ผ่านการใช้เครื่องมือการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมองว่าที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีร่วมมือเพื่อหาแนวทางและมาตรการกำกับการใช้เครื่องมือต่างๆ ออกมาต่อเนื่อง เช่น เกณฑ์ uptick rule ซึ่งที่ผ่านมาสามารถช่วยลดสัดส่วนหุ้นที่ถูก Short Sell จาก 13-14% เหลือ 3-4% ของปริมาณการซื้อขายในแต่ละวัน

ด้านการยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะหันมาเน้นการสร้างมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียนมากขึ้น ทั้งการเพิ่มในส่วนของ ROE และ ROA การทำให้ Balance Sheet ของบริษัทจดทะเบียนมีความเข้มแข็ง เพื่อสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนเติบโตอย่างยั่งยืน และให้ผลตอบแทนกับผู้ลงทุน ซึ่งยอมรับว่ามีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายๆ บริษัทที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ ผ่านการลงทุน และการคิดนอกกรอบ ในการหาโอกาสใหม่ๆ รวมถึงการมองหาธุรกิจที่เป็น New Economy เข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากขึ้น เพื่อสร้างความน่าสนใจในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

นอกจากนี้ ในส่วนของการเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ มองว่ายังคงต้องศึกษาแพลตฟอร์มตลาดต่างๆ ในเอเชียที่พัฒนาแล้ว เพื่อความน่าสนใจในการลงทุน ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติที่ยังอยู่และลงทุนในระยะยาวนั้น มองว่ายังมองเห็นศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ที่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากการเติบโตของ บจ. ที่ผ่านมา มีการย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ mai เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลัก SET แล้วมากกว่า 60 บริษัท

สำหรับทิศทางของตลาดหุ้นไทยไตรมาส 4/67 มองว่าจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างดี จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ประกอบกับที่ผ่านมาได้รัฐบาลได้มีการออกกองทุนรวม TESG เพื่อลดหย่อนภาษี และกองทุนรวมวายุภักษ์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการลงทุนในตลาดทุนไทยเป็นอย่างมาก

"สำหรับตลาดทุน ไม่ได้เป็นของนักลงทุน และของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของเราทุกคน ส่วนทุกคนในตลาดทุนมีบทบาทที่แตกต่างกันออกไป ทั้งการทำงาน ทั้งมุมมองและการพัฒนา ผมพร้อมเปิดรับฟังเพื่อเรียนรู้ มุมมองใหม่ๆ แต่ต้องแยกแยะพฤติกรรมไหนไม่เหมาะสม ก็ไม่สมควรสนับสนุน และสนับสนุนพฤติกรรมที่สามารถพัฒนาตลาดทุนไทยได้" นายอัสสเดช กล่าว