ทั้งนี้ สังเกตได้จากผลประกอบการของค่ายเพลงระดับโลกที่ผ่านมา อย่าง Universal Music Group ค่ายเพลงใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา มีรายได้ 429,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 7% YG Entertainment ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเกาหลี มีรายได้ 14,700 ล้านบาท เติบโตจาก ปีก่อน 45% และ GMM Music ค่ายเพลงส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในไทย มีรายได้ 3,913 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 27% จากตัวเลขดังกล่าวได้แสดงถึงธุรกิจค่ายเพลงมีการเติบโต โดยค่ายเพลงในฝั่งเอเชียมีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 2-3 เท่าตัว เมื่อเทียบกับปี 2015 ที่ธุรกิจดิจิทัลสตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม (Digital Streaming)เริ่มเข้ามามีบทบาท
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ค่ายเพลงเติบโตในยุคดิจิทัลมิวสิค (Digital Music) คือ ทรัพย์สินทางดนตรี (Music IP : Music Intellectual Property) คือ สิทธิ์ หรือ ลิขสิทธิ์ในคอนเทนต์เพลง โดยบริษัทที่จะมี Music IP คือ บริษัทที่โฟกัสในธุรกิจเพลงและมี Music IP จำนวนมาก หรือที่เรียกว่า Music Pure Play Business ซึ่ง Music IP เหล่านี้จะเกิดขึ้นจากการมีศิลปินและก็มีค่ายเพลงต่างๆในมือ ยกตัวอย่าง GMM Music ในฐานะบริษัท ที่มีความแข็งแรงด้านคลังทรัพย์สินทางดนตรีของไทยที่ได้สั่งสมและมีการพัฒนาต่อยอดมาอย่างยาวนานกว่า 40 ปี ผนวกกับการมี Music Infrastructure ครบวงจรที่สุดในไทย ซึ่งการวางจุดยืนของ GMM Music นั้น ไม่ใช่เพียงแค่การดูแลค่ายย่อย ผลิตเพลงป้อนงานให้กับศิลปิน แต่ยังนำเนื้อหาต่างๆที่ได้จากตัวศิลปินหรือทรัพย์สินทางดนตรี ( Music IP : Music Intellectual Property) ต่างๆ มาบริหารจัดการหารายได้ผ่าน Video และ Audio Music Streaming ซึ่งเป็นจุดแข็งเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่ทำให้ค่ายเพลง มีรายได้เข้ามาแบบต่อเนื่อง (Recurring Income) และเป็นรายได้ที่สามารถเกิดขึ้นต่อเนื่องได้ยาวนานเป็นหลายสิบปีจากทรัพย์สินทางดนตรี (Music IP : Music Intellectual Property) โดยไม่ต้องลงทุนผลิตคอนเทนต์ใหม่