Phones





SELIC ย้ายเทรด SET ปักธงธุรกิจโตแกร่ง

2024-11-26 14:53:04 82



 
นิวส์ คอนเน็คท์ – SELIC ย้ายกระดานเทรดจาก mai สู่ SET กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร ยกระดับองค์กรเข้าสู่แหล่งระดมทุนที่มีศักยภาพ เพิ่มโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน หนุนแผนธุรกิจในอนาคต
 
เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 นายณรงค์ สุวัฒนพิมพ์ รองประธานกรรมการ และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC เปิดเผยว่า การย้ายกระดานซื้อขายจากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) สู่กระดานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ของหุ้น SELIC ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อการยกระดับองค์กรเข้าสู่แหล่งระดมทุนที่มีศักยภาพ และเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจให้เติบโตแบบยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาสให้กลุ่มนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนกับบริษัทมากยิ่งขึ้น 
 
ทั้งนี้ บริษัทมีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ของ บจ. mai ที่จะย้ายเข้าซื้อขายใน SET มีดังนี้ 1.มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 300 ล้านบาทขึ้นไป, 2.ส่วนผู้ถือหุ้นมากกว่า 300 ล้านบาทขึ้นไป, 3.มีกำไรสุทธิในระยะเวลา 2 ปี หรือ 3 ปี ล่าสุดก่อนยื่นคำขอรวมกันมากกว่า 50 ล้านบาท โดยในปีล่าสุดก่อนยื่นคำขอมีกำไรสุทธิมากกว่า 30 ล้านบาท และมีกำไรสะสมก่อนยื่นคำขอ, 4.มีราคาพาร์ไม่ต่ำกว่า 0.50 บาท และ 5.มีจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย 1,000 รายขึ้นไป
 
สำหรับภาพรวมธุรกิจภายในปี 2567 คาดว่าจะเติบโต 10-15% จากปีก่อน โดยรอบ 9 เดือนของปี 2567 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,591.01 ล้านบาท เติบโต 14.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรวมธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเข้ามาในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ และมีกำไรขั้นต้น 467.68 ล้านบาท เติบโต 25.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 29.6% จากอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงการพัฒนาขึ้นจากกำไรขั้นต้น ของธุรกิจกาวอุตสาหกรรม และธุรกิจสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัว ด้านผลประกอบการไตรมาส 3/2567 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 523.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 8.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
 
ทั้งนี้ ก้าวต่อไปของซีลิคจะเน้นเดินหน้าธุรกิจแบบเต็มสูบ โดยให้ความสำคัญกับ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจกาวอุตสาหกรรม ธุรกิจสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัว และธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ จากการมีกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งแบบ B2B และ B2C รวมถึงสัดส่วนของกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศที่พอเหมาะ ทำให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจภายใต้ภาวะที่ท้าทายได้เป็นอย่างดี สะท้อนได้จากการเติบโตของรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจหลัก นอกจากนี้ บริษัทยังได้มองหาโอกาสใหม่ๆ ในการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโต หวังเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการขายและบริการทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต