Phones





6 โบรกฯ มั่นใจ NER แนวโน้มโตตามเป้า แนะนำ "ซื้อ"

2025-03-05 09:02:08 896



นิวส์ คอนเน็คท์ - โบรกเกอร์ 6 แห่ง ประสานเสียงเชียร์ "ซื้อ" NER ให้ราคาเป้าหมาย 5.00-6.45 บาท ระบุแนวโน้มผลดำเนินงานปี 68 ยังเติบโตดี คาดการณ์กำไรอยู่ในช่วง 1.7-2.0 พันล้านบาท จากที่ตั้งเป้ายอดขาย 3.45 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% และปริมาณขายยางที่ 5 แสนตัน เพิ่ม 14% จากปีก่อน 

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อย่างน้อย 6 แห่ง ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจของบริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่าย ยางแผ่นรมควัน ยางแท่งและยางผสม โดย บล.ดาโอ (ประเทศไทย) คงคำแนะนำ “ถือ” และราคาเป้าหมาย 5.50 บาท อิง 2025E PER 6x (5-yr average) โดย NER รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 359 ล้านบาท (-22% YoY, -0.4% QoQ) ขณะที่กำไรปกติ (ไม่รวมขาดทุน Fx) อยู่ที่ 484 ล้านบาท (+13% YoY, +119% QoQ) ใกล้เคียงตลาดและเราคาด

โดยกำไรปกติขยายตัว YoY หนุนโดยราคาขายสูงขึ้น +27% YoY ตามทิศทางราคายางในตลาด และ SG&A ปรับตัวลงตามสัดส่วนการส่งออก แต่ปัจจัยเหล่านี้ถูก offset บางส่วนจาก GPM ลดลง -250bps เป็นผลจากต้นทุนยางสูงขึ้น ซึ่งบริษัทบันทึกโดยวิธีถัวเฉลี่ย ขณะที่กำไรปกติฟื้นตัวสูง QoQ หนุนโดยปริมาณขายขยายตัว +39% QoQ จาก high season และสถานการณ์วัตถุดิบและภัยแล้งทยอยคลี่คลาย
 
คงกำไรปกติปี 2025E ที่ 1.7 พันล้านบาท (+4% YoY) สำหรับ 1Q25E เบื้องต้นคาดการณ์กำไรปกติมีแนวโน้มชะลอ YoY, QoQ จาก GPM ลดลงจากฐานสูงใน 1Q24 และปริมาณขายปรับตัวลง หลังผ่าน high season ราคาหุ้น outperform SET +10%/+16% ใน 1/3 เดือน โดยระยะสั้นราคาหุ้นมีโอกาสได้ sentiment บวกหลังประกาศจ่ายปันผล 2H24 ที่ 0.31 บาท/หุ้น คิดเป็น dividend yield สูงที่ 6% กำหนดขึ้น XD 24 เม.ย.68

บล.กรุงไทย เอ็กสปริงส์ หรือ KTX ปรับคำแนะนำลงเป็น Neutral จากเดิม Outperform ตามการปรับขึ้นของราคาหุ้นเข้ามาใกล้มูลค่าเหมาะสมปี 2025E ที่ 5.38 บาท อิงอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง 20.7% สะท้อน PER เป้าหมายที่ 4.8 เท่า Valuation Metrics บ่งชี้ว่าราคาหุ้นปัจจุบันยังค่ากว่ามูลค่าพื้นฐาน ขณะที่การเติบโตของกำไรมีความสม่ำเสมอและมุมมองเชิงเทคนิคอยู่ในระดับปานกลางอัตรากำไรขั้นต้นที่ฟื้นตัวช้าได้รับแรงกดดันจากการปรับขึ้นของราคาวัตถุดิบ ซึ่งน่าจะค่อย ๆ คลี่คลายตามการปรับราคาขาย

บล.กรุงศรี ยังคงแนะนำ “ซื้อ” TP 5.85 บาท อัตราปันผลสูง 6.1% โดยกำไรปกติ 4Q24 ใกล้เคียงคาดอยู่ที่ 484 ลบ. (+13%y-y, +119%q-q) ปัจจัยหนุนจากรายได้และราคาขายทำสูงสุดใหม่ ปริมาณการขายดีที่สุดในรอบ 8 ไตรมาส อีกทั้ง SG&A/sales ลดลงเพราะสัดส่วนการขายในประเทศเพิ่มขึ้น สำหรับโมเมนตั้ม 1Q25F คาดกำไรปกติลดลง y-y, q-q เพราะต้นทุนราคายางเพิ่ม ประกอบกับปัจจัยฤดกาลที่เขาช่วงปิดกรีดปลาย ก.พ. ถึง พ.ค. จึงมองว่า 2H25F จะดีกว่าครึ่งแรกและดีที่สุดใน 4Q25F คงประมาณการกำไรปกติ 2025F ที่ 2,024 ลบ. (+21%yy) โดยชอบ NER ที่สุดในหุ้นกลุ่มยางฯ จาก Operating margin สูง 7-10% ทนความผันผวนของ GPM จากต้นทุนยางเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่า STA


บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุ NER รายงานกำไรปกติ 4Q24 ที่ 484 ลบ. (+118.8% QoQ, +12.7 YoY) ดีกว่าที่คาด 4% โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 359 ลบ. เนื่องจากมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 12 ลบ. และขาดทุนจากอนุพันธ์ 113 ลบ. กำไรปกติที่ดีกว่าคาดเล็กน้อย มาจากรายได้ที่ดีกว่าคาดจากปริมาณขายอยู่ที่ 1.36 แสนตัน (คาด 1.30 แสนตัน) และ ASP อยู่ที่ 65.6 บาท/กก. (คาด 65.0 บาท/กก.) เพิ่มขึ้น 4.4% QoQ และ 26.8% YoY รายได้อยู่ที่ 8,934 ลบ. (+45.0% QoQ, +35.3% YoY) ดีกว่าคาด 6% แต่ GPM ต่ำกว่าคาดเล็กน้อยอยู่ที่ 8.8% (คาด 9.0%) SG&A/Sales อยู่เพียง 1.8% ลดลงจาก 2.9% ใน 3Q24 และ 2.8% ใน 4Q23 เพราะรายได้สูงขึ้นมาก และดีกว่าที่คาดไว้ที่ 2.2% แต่ดอกเบี้ยจ่ายสูงกว่าคาด 12%  

กำไรสุทธิทั้งปี 2024 อยู่ที่ 1,652 ลบ. และกำไรปกติอยู่ที่ 1,673 ลบ. (+5.7% YoY) ประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 2H24 อีก 0.31 บาท ให้ผลตอบแทน 6.1% ขึ้น XD วันที่ 24 เม.ย.

คาดกำไร 1Q25 ทรงตัวถึงลดลงเล็กน้อยทั้ง QoQ และ YoY จากปริมาณขายลดลง QoQ แต่ราคาขายทรงตัวถึงเพิ่มขึ้น QoQ แต่ด้วยราคายางที่เพิ่มขึ้นเร็วใน 1Q25 ทำให้ต้นทุน เฉลี่ยอาจสูงขึ้นตาม ทำให้ GPM อาจทำได้เพียงทรงตัวที่ 9%+/- ส่วน YoY คาดปริมาณขายทรงตัว แต่ ASP เพิ่มขึ้นราว 15% YoY แต่ GPM ลดลงจากฐานที่สูง 1Q24 ทำไว้ที่ 11.6% คงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 6.45 บาท ปัจจุบันซื้อขายที่ PER68 ต่ำเพียง 5.7 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉพาะ 2H24 สูงถึง 6.1% และคาดปี 2025 ทั้งปีอีก 0.36 บาท/หุ้น ให้ผลตอบแทนอีก 7.2% คงคำแนะนำ "ซื้อ"

บล. ทรีนิตี้ ให้คำแนะนำ Trading Buy และราคาเป้าหมาย 5.15 บาท อิง PER ที่ 5.1 เท่า NER ยังคงเป็นหุ้นที่ให้ปันผลดี 0.31 บาท Dividend Yield 6% นอกจากนี้ PBV ยังอยู่ระดับ 1.1 เท่า ROE 20% นอกจากนี้จะยังมี growth จากการขยายกำลังผลิตในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยคาดกำไรปี 2025 ที่ 1.8 พันล้านบาท +11% YoY ผู้บริหารยังมีความมั่นใจที่ยอดขาย 5 แสนตัน โดยจะมีลูกค้าใหม่ๆ จากอินเดียที่จะทยอยเริ่มคำสั่งซื้อใน 2H25 และยังคงแผนการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 5.1 แสนตัน เป็น 8.3 แสนตัน ในปี 2027 โดย Phase 1 คาดว่าจะเริ่มการสร้างโรงงานแห่งใหม่ภายใน 2H25 และคาดว่าจะแล้วเสร็จใน 1H26 ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตในปี 2026 ประมาณ 30% 

บล. Innovest X ระบุ แม้ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside จำกัดจากราคาเป้าหมายปี 2568 ที่หุ้นละ 5.00 บาท (EPS อิงจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากใช้สิทธิแปลงสภาพ NER-W2 ซึ่งมี 308 ล้านหน่วย และกำหนดให้ใช้สิทธิเท่ากัน 3 ครั้งในเวลาที่เหลือ 1.5 ปี พร้อมอิงค่าเฉลี่ย PER ที่ 6.0 เท่าเช่นเดิม) และมีความเสี่ยงต้องติดตามจากนโยบายเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐซึ่งอาจกระทบต่ออุปสงค์ยาง อย่างไรก็ดี NER ยังมีจุดเด่นที่จ่ายเงินปันผลสูง โดยล่าสุดประกาศจ่ายเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2H67 หุ้นละ 0.31 บาท (XD 24 เม.ย.) คิดเป็น Div. Yield 6.1% กลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำ "Neutral" เพื่อรับเงินปันผล

บริษัทมีกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและตั้งเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 หลัง 4Q67 NER มีกำไรสุทธิ 359 ลบ. แต่ไม่รวมรายการพิเศษสุทธิที่บันทึกใน 4Q67 ราว -125 ลบ. จะมีกำไรปกติ 484 ลบ. เพิ่มขึ้น 12.7%YoY ใกล้เคียงตลาดคาด โดยมีแรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 35.3%YoY เนื่องจากมีปริมาณขายยาง 1.36 แสนตัน เพิ่มขึ้น 7%YoY และราคาขายยางเฉลี่ยอยู่ที่ 65.65 บาท ต่อกก. เพิ่มขึ้น 27%YoY อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของยอดขายถูกหักล้างด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเหลือ 8.8% จาก 11.3% ใน 4Q66 หลังมีต้นทุนยางเฉลี่ยสูงขึ้นตามทิศทางราคายางที่ปรับขึ้นแรง ส่งผลให้ปี 2567 NER มีกำไรสุทธิ 1,652 ลบ. เติบโต 6.9%YoY แต่หากไม่รวมรายการพิเศษพบว่ามีกำไรปกติ 1.673 ลบ. เติบโต 5.7%YoY ใกล้เคียงกับที่เราคาดการณ์

ปี 2568 NER ตั้งเป้ามียอดขายราว 3.45 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น 26%YoY ปัจจัยหนุนจากคาดมีปริมาณขายยางที่ 5 แสนตัน (+14%YoY) หลังมองลูกค้าเดิมยังมีดีมานด์ยางที่เติบโตดีและมีการขยายลูกค้าใหม่ในกลุ่มอินเดียเพิ่มเติม ส่วนราคาขายยางเฉลี่ยราว 70-72 บาทต่อกก. ทั้งนี้บริษัทมองว่าอุปทานยางโลกจะทรงตัว โดยอุปทานยางในอินโดนีเซียที่ลดลงจะถูกชดเชยจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นขึ้นในโกตดิวัวร์ ส่วนอุปทานไทยปี 68 คาดเพิ่มขึ้น 20% หลังปริมาณฝนที่ดีขึ้นทำให้กรีดยางได้เร็วขึ้น

โรงงานใหม่แห่งที่ 3 ในไทย (กำลังผลิต 3.2 แสนตัน) จะเริ่มสร้างกลางปีนี้ และจะเปิดเฟสแรกได้ในกลางปี 69 ซึ่งจะมีกำลังผลิต 1.6 แสนตัน ส่วนเฟส2 จะเปิดในปี 70 ซึ่งจะมีกำลังผลิตเพิ่มอีก 1.6 แสนตัน ทำให้กำลังผลิตจากปัจจุบัน 5:165 แสนตัน จะเพิ่มเป็น 8.356 แสนตันในปี 70 สามารถรองรับดีมานด์ที่จะเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้ บริษัทมีแผนกู้เงินจากสถาบันการเงินราว 2 พันลบ. เพื่อนำไปใช้สร้างโรงงานใหม่ซึ่งคาดทำให้ D/E เพิ่มจาก 1.2 เท่าเป็น 1.6 เท่า ขณะที่ความคืบหน้าการสร้างโรงงานผลิตและจำหน่ายยางในประเทศโกตติวัวร์ยังอยู่ระหว่างรอรัฐบาลโกตดิวัวร์อนุมัติกำลังผลิตของโรงงานซึ่งยังล่าช้ากว่าที่คาดพอสมควร ขณะที่มาตรการ EUDR ที่จะบังคับใช้ปีหน้าได้เตรียมปรับปรุงโรงงานขนาดเล็กที่บุรีรัมย์รองรับแล้วซึ่งจะมีกำลังผลิตราว 1 แสนตัน