Phones





SMO งบ 9 เดือนปี 68 กำไรโตสนั่น 113% ปันผล 0.15 บ./หุ้น

2025-11-13 11:11:07 133



นิวส์ คอนเน็คท์ - กลุ่มสมอทอง หรือ SMO กวาดกำไร 9 เดือน ปี 68 ที่ 652.07 ล้านบาท โตกระฉูด 113% รายได้รวม 7,180.58 ล้านบาท เคาะจ่ายปันผล 0.15 บาท/หุ้น หลังยอดขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง และรายได้ขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น นำเงินระดมทุน ลงทุน 960 ล้านบาท สร้างโรงงานใหม่ใน อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช อัพกำลังผลิตน้ำมันปาล์มดิบเป็น 390 ตัน รับความต้องการตลาดโลกพุ่ง

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 นายกิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO ประกอบการธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง และธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพเพื่อจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในช่วง 9 เดือน ปี 2568 มีรายได้รวม 7,180.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,365.81 ล้านบาท หรือ 49.14% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้ 4,814.77 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 652.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 346.50 ล้านบาท หรือ 113.39% เทียบกับช่วงเดียวกันปี 67 ที่มีกำไรสุทธิ 305.57 ล้านบาท

รายได้ที่ปรับตัวสูงขึ้น มีปัจจัยมาจากการขายเมล็ดในปาล์มอบแห้ง และผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง รวมถึงรายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากการที่ทุกโรงงานของกลุ่มบริษัทสามารถเดินเครื่องได้เต็มประสิทธิภาพ ในขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนหน้า AL อยู่ระหว่างการปรับปรุงเครื่องจักรโดยเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 ขณะที่รายได้จากการขายน้ำมันปาล์มดิบลดลง เนื่องจากช่วงปลายไตรมาส 3 ปี 2568 บริษัทมีการรวบรวมน้ำมันปาล์มดิบเพื่อรอส่งมอบตามสัญญาขายน้ำมันปาล์มดิบต่างประเทศในต้นไตรมาส 4 ปี 2568 จำนวน 32,000 ตัน ซึ่งได้ส่งมอบสินค้าในเดือนตุลาคม 2568 และรับรู้รายได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ บริษัทประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท โดยจ่ายจากกำไรสุทธิ ส่วนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 25 พ.ย. 2568 และจ่ายปันผลในวันที่ 11 ธันวาคม 2568

ขณะที่อัตราส่วนการวิเคราะห์ทางงบการเงินที่แข็งแกร่ง โดยสำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568 อัตราส่วนสภาพคล่องที่ 1.04 เท่า อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 1.29 เท่า อัตราความสามารถในการชําระดอกเบี้ย (ICR) ที่ 20.00 เท่า โดยอัตราส่วนดังกล่าว ยังไม่นับรวมเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) ซึ่งบริษัทได้รับเงินจากการเสนอขายหุ้น IPO ภายหลังจากหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จำนวน 1,193.33 ล้านบาท ซึ่งรายการข้างต้นจะส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ฐานะทางการเงินของกลุ่มบริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

ขณะเดียวกันที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติการเข้าทำรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ในโครงการลงทุนซื้อที่ดิน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลช้างซ้าย อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มดิบ ซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตประมาณ 75 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง โดยมีมูลค่าลงทุนรวมสูงสุดไม่เกิน 960.00 ล้านบาท

โดยการลงทุนซื้อที่ดิน เนื้อที่รวม 214 ไร่ 1 งาน 3 ตารางวา ซึ่งมีพื้นที่ติดกันทั้งหมด ตั้งอยู่ที่ตำบลช้างซ้าย อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช จากบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกัน มูลค่าซื้อที่ดินมีมูลค่ารวมไม่เกิน 120.00 ล้านบาท และก่อสร้างโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มดิบบนที่ดิน โดยมีเงินลงทุนก่อสร้างโรงงานไม่เกิน 840.00 ล้านบาท ซึ่งจะจัดสรรเงินที่ได้รับจากการ IPO จำนวน 320–370 ล้านบาท มาลงทุนในโครงการ ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้เปิดเผยต่อนักลงทุน ส่งผลให้กลุ่มบริษัทต้องจัดหาเงินลงทุนเพิ่มจากการกู้ยืมกับสถาบันการเงินจำนวน 550–600 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจากกระแสเงินสดของบริษัท 

คาดการณ์ระยะเวลาในการก่อสร้าง และติดตั้งเครื่องจักรใช้ระยะเวลารวมทั้งสิ้นประมาณ 18-20 เดือน และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มเปิดดำเนินการผลิตได้ประมาณไตรมาส 2 ปี 2571 ส่งผลให้ภายหลังโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มดิบข้างต้นก่อสร้างแล้วเสร็จ กำลังการผลิตของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 315 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง ยังไม่นับรวมกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นของโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มดิบ สาขาพนม ซึ่งอยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักร และจะสามารถเริ่มเดินเครื่องจักรได้ภายในเดือนเมษายน 2569 ดังนั้น หากนับรวม จะส่งผลให้กำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบของบริษัทเพิ่มขึ้นเท่ากับ 390 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง
 
โดยการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบของกลุ่มบริษัทจะส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีสินค้าสำหรับขายมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกปัจจุบันที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างอิงข้อมูลจากข้อมูลสำนักเศรษฐกิจการเกษตร 5 ปีย้อนหลัง พบว่าความต้องการน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 2.1% หรือคิดเป็นเฉลี่ยมีความต้องการน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นปีละ 3.1 ล้านตัน ดังนั้น การขยายธุรกิจด้วยการลงทุนซื้อที่ดิน เพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มดิบ จ.นครศรีธรรมราช จะช่วยให้กลุ่มบริษัทมีโอกาสในการสร้างผลการดำเนินงานได้เพิ่มขึ้น นำมาซึ่งผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว