Phones





GGC เร่งขับเคลื่อน 3 กลยุทธ์หลัก สร้างโอกาสเติบโตยั่งยืน

2025-11-27 12:17:02 82



นิวส์ คอนเน็คท์ - GGC ประกาศย้ำยุทธศาสตร์ระยะยาว สู่ Transformation for Future Growth เร่งขับเคลื่อน 3 กลยุทธ์หลัก สร้างโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต  

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC พร้อมด้วยผู้บริหาร ร่วมนำเสนอข้อมูลภายในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน (Opportunity Day) ว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ Transformation for Future Growth เพื่อให้สอดรับ 3 กลยุทธ์หลัก คือ “เข้มแข็ง เติบโต ยั่งยืน” ที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการพิจารณาถึงความสามารถในการแข่งขันของแต่ละธุรกิจ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับภูมิทัศน์ทางธุรกิจ (Business Landscape) ที่เปลี่ยนไป ปัจจัยภายนอกและผลกระทบต่างๆ อาทิ สภาวะเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของตลาด และการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ รวมถึงปัจจัยภายในประเทศที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในระดับสากล

อีกทั้งบริษัทฯ ได้มีการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ โดยเร่งผลักดันการดำเนินการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจพลังงานชีวภาพ (BioEnergy) สู่ธุรกิจเคมีชีวภาพ (BioChemicals) และกลุ่มเคมีชีวภาพชนิดพิเศษที่เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงให้มากขึ้น โดยมีการกำหนดทิศทางขององค์กรที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันต่อสถานการณ์ ผ่านการขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ 3 Strategic Focus ได้แก่ 1. Portfolio Transformation: Transform BioEnergy to BioChemicals, 2. Growth in BioChemicals by Capacity Expansion, 3. Growth in Specialty Platform with Asset Light Strategy

พร้อมกันนี้ GGC ยังได้กำหนดแผนการดำเนินงาน เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และการเติบโตอย่างยั่งยืน 2 ระยะสำคัญ ได้แก่ 1) ระยะสั้น (ปี 2569-2571) บริษัทฯ จะดำเนินการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจพลังงานชีวภาพ สู่กลุ่มธุรกิจเคมีชีวภาพ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือต่อสถานการณ์ที่มีความผันผวนสูงของธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ สู่การแข่งขันที่ดีขึ้น 

2) ระยะยาว (ปี 2572 เป็นต้นไป) โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นขยายธุรกิจในกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพพื้นฐาน และกลุ่มเคมีชีวภาพชนิดพิเศษที่เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงให้มากขึ้น (BioChemicals Expansion and HVP Development) โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเคมีชีวภาพ ซึ่งยังคงมีความต้องการเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง ภายใต้ข้อได้เปรียบของบริษัทฯ ที่เป็นโรงงานแฟตตี้แอลกอฮอล์แห่งเดียวในประเทศไทย และ การเชื่อมโยงใน Value Chain ของกลุ่ม GC ส่งผลให้บริษัทฯ มีศักยภาพและความพร้อมในการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขัน

ทั้งนี้ หากพิจารณาจาก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ได้แก่ 1. กลุ่มธุรกิจเมทิลเอสเทอร์ (ME) จะเห็นได้ว่า ราคาน้ำมันปาล์มดิบมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 4% เนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันพืชที่สูงขึ้น ประกอบกับความกังวลต่ออุปทานน้ำมันปาล์มโลกที่คาดว่าจะตึงตัวจากนโยบายรัฐบาลอินโดนีเซียที่มีแผนการใช้ B50 ในปี 2569 ขณะเดียวกัน ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มในประเทศลดลง เนื่องจากภาครัฐยังคงสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซลไว้ที่ B5 ตลอดไตรมาส 3/2568 ซึ่งต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการผสมในระดับ B7

2.กลุ่มธุรกิจแฟตตี้แอลกอฮอล์ (FA) ราคาวัตถุดิบ CPKO ในงวด 9 เดือน ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 41% จากปีก่อน จากความกังวลต่อปริมาณที่ตึงตัวและสต๊อกสะสมในช่วง 6 เดือนแรกอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์แฟตตี้แอลกอฮอล์ปรับขึ้นตามทิศทางวัตถุดิบ แต่ด้วยความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าสหรัฐฯ และมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ยังคงกดดันเศรษฐกิจโลก ทำให้ผู้ซื้อมีความระมัดระวังในการจัดซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น และ 3.กลุ่มธุรกิจกลีเซอรีน (RGL) ปรับตัวดีขึ้นจากราคาขายที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการโดยรวมมีทิศทางเชิงบวก