Phones





กรมสรรพสามิต วางเป้าหมายจัดเก็บรายได้ปี 69 ทะลุ 5.78 แสนล.

2025-12-03 20:56:54 92



 
นิวส์ คอนเน็คท์ – กรมสรรพสามิต เปิดทิศทางการขับเคลื่อนองค์กรในปีงบประมาณ 2569 เร่งยกระดับ สู่การเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน พร้อมตั้งเป้าจัดเก็บรายได้ในปี 2569 ไว้ที่ 578,200 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 611,220 ล้านบาท ในปี 2570 ผลักดันรายได้รัฐบาลสุทธิแตะระดับ 3 ล้านล้านบาท
 
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ดร. พรชัย ฐีระเวช อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตต่อยอดความสำเร็จจาก SMART Excise ในปีที่ผ่านมา สู่การขับเคลื่อนภารกิจด้วยกลยุทธ์ “Diamond of SMART EXCISE” โดยมีหลักการสำคัญที่มุ่งเน้น 5 ด้าน คือ ความผาสุก ความโปร่งใส ความเป็นธรรม ความแม่นยำ และความเรียบง่าย พร้อมขานรับนโยบายเร่งด่วน Quick Big Win ของรัฐบาล ด้วยการยกระดับหลักการทำงานภายใต้แนวคิดใหม่ "EXCISE is a Society of EXerCiSE" หรือ "EXCISE EXerCISE" ที่มุ่งขับเคลื่อน ทั้งสังคมและองค์กร ด้วยพลังแห่งวินัยและความเป็นมืออาชีพ เพื่อให้บุคลากรของกรมสรรพสามิต ทุกระดับ ร่วมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
 
โดย “EXCISE EXerCISE” มุ่งเน้นการขับเคลื่อนใน 2 ด้าน ควบคู่กัน คือ ด้านที่ 1 ร่วมกันยกระดับ ภาษีสรรพสามิตเพื่อความยั่งยืน (Excise Tax) โดยควบคุมการบริโภคสิ่งไม่พึงประสงค์ หรือทำลายสุขภาพ จำกัดการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย และสร้างความตระหนักรู้ รวมถึงส่งเสริมพฤติกรรมของผู้บริโภคและผู้ผลิตในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งการขับเคลื่อนดังกล่าวดำเนินการตามแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2570-2573) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2568 ซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปี 2569 ที่ระดับ 1.2 - 2.2%, ปี 2570 ขยายตัว 2.1 - 3.1%, ปี 2571-2572 ขยายตัว 2.3 - 3.3% และปี 2573 ขยายตัว 2.5 - 3.5% โดยในปี 2569 กรมสรรพสามิตตั้งเป้าจัดเก็บรายได้ 578,200 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 611,220 ล้านบาทในปี 2570 ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันรายได้รัฐบาลสุทธิให้แตะระดับ 3 ล้านล้านบาท
 

อย่างไรก็ตาม ภายใต้แผนการคลังระยะปานกลาง 2570-2573 กรมสรรพสามิตได้นำนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มาปรับใช้โดยยึดสมการเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการเก็บภาษีอากร คือ “Excise Tax = Tax Base x Tax Rate” หรือ “Excise Tax = Price x Quantity x Tax Rate” หรือ "รายได้ภาษี = ราคา x ปริมาณ x อัตราภาษี" โดยมีแผนการดำเนินงาน ประกอบด้วย 1. การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการจัดเก็บรายได้ (Tax Base = Price x Quantity) โดยการทบทวนกฎหมาย และนำเทคโนโลยีมาใช้ ได้แก่ การพัฒนาระบบตรวจสอบข้อมูลสุรานำเข้า เพื่อประเมินมูลค่าและควบคุมการจัดเก็บภาษีสำหรับสุราทุกชนิด, ปรับปรุงประกาศกรมสรรพสามิต
 
นอกจากนี้ยังได้พัฒนา Application การสำรวจราคา เพื่อใช้เปรียบเทียบกับราคาขายปลีกแนะนำที่ผู้ผลิตและผู้นำเข้าแจ้ง, ทบทวนประกาศกรมสรรพสามิตเกี่ยวกับสิทธิเสียภาษีอัตราศูนย์ ของเครื่องดื่ม ประเภทน้ำพืชผักผลไม้ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การสุ่มตรวจสอบสินค้าใหม่ และการปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดเก็บภาษีกิจการบริการ โดยขยายฐานภาษี ให้ครอบคลุมค่าใช้บริการประเภทต่าง ๆ ให้มากขึ้น รวมทั้ง ยกระดับการปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายเชิงรุก ด้วยเทคโนโลยี และความร่วมมือทุกภาคส่วน พร้อมจูงใจให้กลับเข้าสู่ระบบภาษี
 
2. มาตรการภาษี (Tax Rate) มุ่งปรับปรุงโครงสร้างภาษีให้ตอบโจทย์ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การปรับภาษีน้ำมัน โดยพิจารณาควบคู่กับต้นทุนราคาน้ำมันดิบ และสถานะกองทุนน้ำมันฯ ปรับโครงสร้าง/อัตราภาษีสุรา เบียร์ และยาสูบ เครื่องดื่ม ตามหลักการด้านสุขภาพ ปรับโครงสร้างภาษีแบตเตอรี่ ตามหลักการด้านสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ปรับโครงสร้างภาษีสินค้าและบริการตามหลักการด้านความฟุ่มเฟือย ปรับโครงสร้างภาษีสินค้าที่สร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ที่รวมถึงการนำคาร์บอนมาใช้พิจารณาประกอบ เป็นต้น
                               

ทั้งนี้ กรมสรรพสามิต ขอเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินนโยบายการคลังในระยะปานกลาง ที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศ เพื่อเสริมสร้างความมั่งคงทางการคลังและรักษาระดับความน่าเชื่อถือของประเทศภายใต้ แนวคิด “Credible” โดยให้ความสำคัญกับการปรับสมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ภายใต้กรอบวินัยการคลัง ความโปร่งใส และเป็นรูปธรรมในทุกมิติของการบริหารจัดการด้านการคลัง ด้วยการเร่งเครื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ โดยนำระบบงานดิจิทัล และ Big Data มาใช้เพื่อขยายฐานภาษี และเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบรายบุคคลและผู้ประกอบการ ใช้ Data Lake ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขยายฐานในการจัดเก็บรายได้ให้ครบถ้วน และนำมาช่วยออกแบบ วิเคราะห์ และประเมินผลนโยบายการคลัง รวมทั้ง ทบทวนกฎหมาย พัฒนาแอปพลิเคชันในการสำรวจราคาขายปลีกแนะนำ เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผลมากขึ้น ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษีระหว่างประเทศ และพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกในการชำระภาษีให้สะดวกและโปร่งใสมากขึ้น
 
นอกจากนี้ ยังดำเนินมาตรการภาษี ขยายฐานภาษี ตรวจสอบ ปราบปรามภาษีเชิงรุก เพื่อรับมือกับความท้าทายทุกมิติ ควบคู่การดูแลผู้ประกอบการด้วยความโปร่งใส และเป็นธรรม โดยปัจจุบันกรมมีมาตรการภาษี เช่น ปรับเพิ่มอัตราภาษีน้ำมัน ลิตรละ 1 บาท มีผลเมื่อ 7 พ.ค. 2568, สนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย, ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจจาก 10% เหลือ 5% เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เริ่ม 1 ม.ค. 2569, ปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามกฎกระทรวงการผลิตสุรา เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการสุรารายย่อยและสุราชุมชน มีผล 2 ธ.ค. 2568
 

ขณะที่ยังมีมาตรการภาษีในอนาคต เช่น ขยายฐานภาษีสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมรองรับ มาตรการการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM), ขยายฐานภาษีสินค้าหรือบริการที่ฟุ่มเฟือย, ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น Sustainable Aviation Fuel – SAF , Bio-based fuels, ภาษีความเค็ม เพื่อลดปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการบริโภคโซเดียมเกินความจำเป็น, ปรับโครงสร้างภาษีแบตเตอรี่ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยพิจารณาจากจำนวนรอบการชาร์จ (Life Cycle) และน้ำหนักต่อการให้พลังงาน (Electricity Density)
 
ปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ซิกาแรตให้เป็นระบบภาษีแบบอัตราเดียว (Uniform Tax System) นอกจากนั้น กรมสรรพสามิตยังได้ยกระดับการปราบปรามเชิงรุกอย่างจริงจัง ด้วยการบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่าย เช่น ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการปกครอง และกองทัพ เพื่อเสริมสรรพกำลังและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ผ่านระบบ "ศูนย์ปราบปราม สินค้าออนไลน์" ทั้งนี้ 1 ต.ค. - 30 พ.ย. 2568 สามารถจับกุมคดีผิดกฎหมายได้ 3,974 คดี ของกลาง 701,067 ซอง คิดเป็นมูลค่าภาษีที่รัฐสูญเสียกว่า 35.61 ล้านบาท ค่าปรับและประมาณการค่าปรับ 482.11 ล้านบาท