Phones





GULF อวดงบQ1/63โต38% จ่อออกหุ้นกู้1หมื่นล.

2020-05-15 09:18:05 633




นิวส์ คอนเน็คท์ – GULF โชว์ผลประกอบการไตรมาส 1/63 กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 38% ได้รับปัจจัยหนุนจากโรงไฟฟ้า IPP มีค่าความพร้อมจ่ายเพิ่มขึ้น รับรู้รายได้ SPP 12 โรงเต็มไตรมาส ยอดขายไฟฟ้าอุตสาหกรรมพุ่ง พร้อมเล็งออกหุ้นกู้ 10,000 ล้านบาทกลางปีนี้ ลุยขยายลงทุนตามแผน มั่นใจผลงานทั้งปีโตแกร่ง


เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 มีกำไรจากการดำเนินงาน 925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% เทียบกับไตรมาส 4/62 และเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/62 เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้า IPP ทั้ง 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าหนองแซง (GNS) และ โรงไฟฟ้าอุทัย (GUT) รวม 3,200 เมกะวัตต์ มีค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment) มากขึ้น ประกอบกับกลุ่ม SPP ทั้งหมด สามารถขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น


นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 1/63 ยังมีต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติลดต่ำลงในระดับ 267 บาทต่อล้านบีทียู เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีต้นทุนก๊าซฯในระดับ 282 บาทต่อล้านบีทียูในขณะที่ค่า Ft เท่าเดิม ทำให้บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากการเปิดดำเนินการของ SPP 12 โครงการ และจากการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เวียดนาม จำนวน 2 โครงการ อีกทั้ง รับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล กัลฟ์ จะนะ กรีน ที่ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 63 ที่ผ่านมา


อย่างไรก็ตาม เมื่อสิ้นไตรมาส 1/63 นั้นส่งผลให้ GULF มีโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้นตามสัดส่วนการถือหุ้น (Equity MW) เท่ากับ 2,726 เมกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้น 249 เมกะวัตต์ เมื่อเทียบกับ 2,477 เมกะวัตต์ในไตรมาส 1/62 ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานนั้น มีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนงาน โดย IPP ทั้ง 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าศรีราชา (GSRC) และโรงไฟฟ้าปลวกแดง (GPD) รวม 5,300 เมกะวัตต์ มีกำหนดที่จะเปิดดำเนินการตามแผนระหว่างปี 64 ถึง 67


ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าหินกอง ซึ่งเป็น IPP แบ่งเป็น 2 ระยะ ขนาดกำลังการผลิตรวม 1,400 เมกะวัตต์ GULF ถือหุ้นในสัดส่วน 49% จะเริ่มก่อสร้างในปี 64 และมีกำหนดเปิดดำเนินการตามแผนในปี 67 และ 68 ตามลำดับ ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ซึ่งเป็น IPP ขนาด 540 เมกะวัตต์ จะเริ่มก่อสร้างในปี 67 และมีกำหนดเปิดดำเนินการตามแผนในปี 70 โดยหลังจากที่ทุกโครงการเปิดดำเนินการแล้ว กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,781 เมกะวัตต์


การลงทุนพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น โครงการท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 (ท่าเทียบเรือ F) มีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ ด้านโครงการมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) คาดว่าจะมีการลงนามสัญญา PPP ในเดือน มิ.ย. 63


สำหรับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บริษัทฯ คาดว่าจะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการของปี 63 เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ประมาณ 90% ขายให้ กฟผ. มีเพียงแค่ 10% ที่ขายให้ลูกค้าอุตสาหกรรม โดยในไตรมาส 1/63 ลูกค้าอุตสาหกรรมโดยรวมยังไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และบริษัทฯ ยังมีรายได้จากการไฟฟ้าให้กับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อนอีกด้วย


นอกจากนี้ ลูกค้าอุตสาหกรรมยังมีการกระจายตัวอยู่ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมและบริษัทฯ ยังมีการขยายฐานลูกค้าอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม เฟส 1 ขนาด 30 เมกะวัตต์ ที่เวียดนาม ได้มีการเลื่อนกำหนดการเปิดดำเนินการจากสิ้นปี 63 ไปเป็น พ.ค. 64 เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องการเดินทางของผู้รับเหมาจากประเทศจีนช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ โครงการยังคงได้รับค่าไฟฟ้าในอัตรา 9.8 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์


พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสในการลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะใช้กระแสเงินสด รวมถึงการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน หรือการออกหุ้นกู้ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจดังกล่าว โดยมีแผนที่จะออกหุ้นกู้ประมาณ 10,000 ล้านบาทกลางปีนี้ เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ 1.51 เท่า


>>>สามารถอ่านข่าวเพิ่มเติมได้ทาง http://www.newsconnext.com
หรือติดตามผ่านช่อง Line@ ได้ที่ News Connext
ช่องทาง Fanpage Facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/connextnews