นิวส์ คอนเน็คท์ – IRPC มั่นใจผลงานไตรมาส2 ฟื้นตัวตามราคาผลิตภัณฑ์ที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นทั้งกลุ่มปิโตรเคมี ปิโตรเลียม คาด Market GIM ไตรมาส2 อยู่ในระดับ 8-9 เหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส1 ขณะทั้งปีเฉลี่ยในระดับ 9-10 เหรียญสหรัฐฯ พร้อมงัดกลยุทธ์ Strengthen IRPC หวังผลักดัน EBITDA แตะระดับ 2 หมื่นล้าน

เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 นายนพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/63 คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1/63 เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ ทั้งกลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มปิโตรเลียมเริ่มปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับต้นทุน Crude premium ถูกลง โดยคาดว่า กำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) จะอยู่ในระดับ 8-9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกช่วงไตรมาส 2/63 ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/63 ซึ่งส่งผลให้ขาดทุนสต็อกน้ำมัน 7,547 ล้านบาท แต่ในช่วงไตรมาส 2/63 คาดว่ายังมีขาดทุนสต็อกน้ำมันเล็กน้อย

อย่างไรก็ตามแนวโน้มผลการดำเนินงานนั้นในครึ่งปีหลัง 63 จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวมากขึ้นได้อย่างชัดเจน เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย หลายประเทศปลดล็อกดาวน์ ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ Spread ราคาปิโตรเคมี และปิโตรเลียมที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น

ทั้งนี้จากปัจจัยของ Spread ราคาปิโตรเคมี และปิโตรเลียม และต้นทุน Crude premium ถูกลงจึงคาดว่าจะสนับสนุนให้ Market GIM เฉลี่ยทั้งปี 63 อยู่ในระดับ 9-10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 62 ที่อยู่ในระดับ 8.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในปีนี้คาดว่าจะเฉลี่ยในระดับ 40-50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล นอกจากนี้บริษัทยังมีเป้าหมายลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานลง 15%

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนออกหุ้นกู้ในปีนี้ ราว 5,000-10,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินในการเป็นเงินทุนหมุนเวียน คืนหุ้นกู้ และเป็นเงินลงทุน จากวงเงินที่เหลืออยู่ 28,000 ล้านบาท ขณะที่เงินสดในมือเมื่อสิ้นไตรมาส 1/63 นั้นมีเงินสดมือ 12,000 ล้านบสาท

พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังได้วางเป้าหมายการดำเนินงานเพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และสร้างองค์กรให้มีความแข็งแรง ภายใต้กลยุทธ์ Strengthen IRPC ในระยะสั้น 4 ปี (63-66) โดยภายใต้แผนกลยุทธ์ดังกล่าว จะเน้นการเพิ่มสินค้าเกรดพิเศษ (specialties products) ทั้งในส่วนของธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมี การเพิ่มช่องทางการจำหน่าย การเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารจัดการสต็อก การลดต้นทุนต่าง ๆ โดยใช้เงินทุนในช่วงปี 63-66 ประมาณ 2.18 พันล้านบาทคาดว่าจะสร้างผลประโยชน์ได้ราว 4,600 ล้านบาทเมื่อสิ้นสุดโครงการ

ขณะที่สิ้นปีนี้คาดว่าเกิดผลประโยชน์ราว 1,900 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถรักษากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของปี 63 อยู่ระดับใกล้เคียงปี 62 ที่มี EBITDA อยู่ในระดับ 5,940 ล้านบาท อย่างไรก็ตามการดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ Strengthen IRPC บริษัทฯ วางเป้าหมาย EBITDA ภายในปี 68 กลับมาแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 20,000 ล้านบาท หลังจากที่เคยทำได้แล้วเมื่อปี 60 และวางเป้าระยะยาวจะมี EBITDA ในปี 73 ที่ระดับ 30,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่ม (HVA) สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ในสัดส่วน 55% และสินค้ากลุ่ม Commodity 45% โดยในส่วนของ HVA แบ่งเป็น กลุ่มสินค้า Commodity Plus ซึ่งมีราคาสูงว่าสินค้า Commodity ราว 1% และกลุ่มสินค้า Speciality ในสัดส่วน 13% มีเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 30% ในปี 67 ซึ่งสินค้ากลุ่ม Speciality มีราคาสูงกว่าสินค้าประเภท commodity ราว 10% โดยกลุ่มสินค้าดังกล่าวจะเน้นไปที่กลุ่มเครื่องมือแพทย์ และ Ultra High Molecular Weight Polyethylene (UHMW-PE) เม็ดพลาสติกความหนาแน่นมากกว่าโพลิเอทินลีนทั่วไป 10 เท่า ซึ่งสามารถใช้งานได้หลากหลาย

ส่วนการเข้าถือหุ้น 50%ในบริษัท ไมเท็กซ์ โพลิเมอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจธุรกิจผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษพีพีคอมพาวนด์ (PP Compound) นั้นจะส่งผลให้ IRPC สามารถขยายตลาดสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ได้รวดเร็วขึ้น และช่วยเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานผลิต PP Compound ให้ใช้กำลังการผลิตได้เต็มที่จากปัจจุบันผลิตอยู่ 9 หมื่นตันต่อปีเป็น 1.4 แสนตันต่อปีใน4ปีข้างหน้า โดยคาดว่าปีนี้ IRPC จะรับรู้กำไรจากไมเท็กซ์ฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้นราว 300 ล้านบาท

>>>สามารถอ่านข่าวเพิ่มเติมได้ทาง http://www.newsconnext.com
หรือติดตามผ่านช่อง Line@ ได้ที่ News Connext
ช่องทาง Fanpage Facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/connextnews