Phones





BAY สั่งจับตาสัญญาณเศรษฐกิจโลกถดถอย

2019-08-19 17:34:19 326




นิวส์ คอนเน็คท์ – BAY ประเมินค่าเงินบาทสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ 30.70-31.05 บาทต่อดอลลาร์ แนะติดตามภาวะเศรษฐกิจโลกส่งสัญาณถดถอย ลุ้นธนาคารกลางยุโรปปรับลดดอกเบี้ยพร้อมเริ่มาตรการ QE ครั้งใหม่


นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการ ผู้บริหารฝ่ายส่งเสริมธุรกิจโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เปิดเผยว่า ทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ (19-23 ส.ค.) มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 30.70-31.05 ต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดอ่อนค่าที่ 30.89 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทย 2.4 หมื่นล้านบาท และ 1.0 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ส่วนเงินดอลลาร์แข็งค่าเทียบทุกสกุลเงินสำคัญ


โดยมองว่าตลาดจะให้ความสนใจถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการประชุมผู้นำธนาคารกลางทั่วโลกที่เมือง Jackson Hole นักลงทุนคาดว่าประธานเฟดอาจใช้เวทีนี้สื่อสารในเรื่องการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยในระยะถัดไป นอกจากนี้ ตลาดจะติดตามการเปิดเผยบันทึกการประชุมรอบล่าสุดของเฟดเช่นกัน ส่วนการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังคงมีอิทธิผลต่อตลาดการเงินในภาพรวม


ทั้งนี้ ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ภาวะเส้นอัตราผลตอบแทนลักษณะ Inversion หรือ Yield ระยะ 10 ปีลดลงต่ำกว่าระยะ 2 ปีส่งสัญญาณผิดเกี่ยวกับการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐเพียงครั้งเดียว ขณะที่ทางฝั่งยุโรป คาดว่าเงินยูโรยังคงเผชิญแรงกดดันหลังมีกระแสข่าวว่าเยอรมันอาจจัดทำงบประมาณขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและหลีกเลี่ยงจากการเข้าสู่ภาวะถดถอย อีกทั้งตลาดคาดว่าธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะปรับลดดอกเบี้ยลงและเริ่มดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ครั้งใหม่


สำหรับปัจจัยในประเทศ สภาพัฒน์ฯ ประกาศตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2562 ขยายตัว 2.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบกว่า 4 ปี โดยสภาพัฒน์ฯ ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้เป็นเติบโต 2.7-3.2% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.3-3.8% ขณะที่ส่งออกปี 2562 มีแนวโน้มหดตัวลง 1.2%


ส่วนกระทรวงการคลังเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินไม่ต่ำกว่า 2.25 แสนล้านบาท ครอบคลุมการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง การดูแลปรับเพิ่มสวัสดิการสำหรับผู้มีรายได้น้อย และการกระตุ้นการอุปโภคบริโภคและการลงทุนในประเทศ โดยมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจน่าจะชัดเจนขึ้นในช่วงปลายปีนี้ท่ามกลางการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านนโยบายการเงินและการคลัง