Phones





PTTGC ชู3กลยุทธ์พลิกวิกฤตโควิด

2020-08-17 16:02:05 486




นิวส์ คอนเน็คท์ - PTTGC ปรับกลยุทธ์ธุรกิจพลิกวิกฤตโควิด-19 เป็นโอกาส สร้างเทรนด์รักษ์โลกแบบทันสมัย พร้อมด้วยสมาร์ท ออฟฟิศ เสริมประสิทธิภาพการทำงานให้พนักงาน


เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2563 นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTGC เปิดเผยว่า PTTGC จัดเตรียมมาตรการสำคัญและปรับกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงที่โลกยังเผชิญวิกฤตโควิด-19 รวมถึงราคาน้ำมัน และสงครามทางเศรษฐกิจ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับบริษัทฯ


โดย PTTGC ยึดหลัก 4 มาตรการสำคัญ คือ 1. ความปลอดภัยของพนักงาน PTTGC ยึดหลักความปลอดภัยของพนักงานทั้งที่ประจำโรงงานและที่ประจำสำนักงานกรุงเทพฯ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยให้พนักงานรักษาระยะห่างทางสังคม ( Physical Distancing) ด้วยการทำงานแบบ Work from Home อย่างน้อย 2 ใน 3 ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่า การทำงานยังคงมีประสิทธิภาพเช่นเดิม และ PTTGC จะใช้นโยบายนี้ต่อไป ถือเป็น New Normal ที่เด่นชัดที่สุด โดยได้นำแอพพลิเคชันมาใช้ในการติดตามการดำเนินชีวิตของพนักงานเพื่อพิจารณาความเสี่ยงและดูแลพนักงาน โดยปัจจุบันพนักงาน PTTGC ทุกคนยังไม่มีใครติดเชื้อโควิด-19 แม้แต่คนเดียว และในอนาคต PTTGC จะปรับเปลี่ยนสำนักงานให้เป็น Smart Office ที่มีความคล่องตัว ด้วยการลดพื้นที่ใช้สอยลง แต่เพิ่มฟังก์ชั่นที่เอื้อต่อการทำงานมากยิ่งขึ้น


2. ความต่อเนื่องทางธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) PTTGC ยังคงกำลังการผลิตในทุกสายการผลิตเช่นเดิม  โดยการทำให้องค์กรมีความคล่องตัวและเพิ่มความสามารถด้วยการปรับกระบวนการทำงาน เพิ่มขีดความสามารถของพนักงาน (Upskill & Reskill) และนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อส่งมอบสินค้าคุณภาพให้แก่ลูกค้า โดยมีแผนการทำงานร่วมกับลูกค้า ด้วยนโยบาย เราอยู่ได้ ลูกค้าอยู่ได้ 3. การช่วยเหลือชุมชนและสังคมโดยรวม PTTGC นำผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมของบริษัทฯ มาใช้ในการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์เพื่อสร้างสรรค์อุปกรณ์ทางการแพทย์ และส่งต่อให้กับบุคลากรทางการแพทย์หลากหลายชนิด เช่น เสื้อกาวน์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Disposable Gown) หน้ากากปกป้องใบหน้า (Face Shield) หมวกสุญญากาศ ตู้โควิเคลียร์ (CoviClear) หรือ ตู้พ่นซิลเวอร์นาโนฆ่าเชื้อ หุ่นยนต์ช่วยเหลือทางการแพทย์ เป็นต้น และ 4. ความชัดเจนในการสื่อสาร ความโปร่งใส และ การสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders)
 
นอกจากนี้ PTTGC ยังคงนำกลยุทธ์ 3 Steps ได้แก่ Step Change, Step Out และ Step Up มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ โดยมีการทบทวนอย่างรอบคอบและปรับกลยุทธ์ในช่วงภาวะวิกฤตนี้ โดยบริษัทฯ มีแนวทาง ดังนี้ Step Change ทำบ้านให้แข็งแรง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ด้วย Operational Excellence และเพิ่มความยืดหยุ่นในการเลือกใช้วัตถุดิบ (Feedstock Flexibility) รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น มุ่งหน้าสู่ธุรกิจ High Value Product (HVP) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และตลาดที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้นด้วยแนวทาง market-focused business โดยเน้นการลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี เงินลงทุนไม่สูงมาก อาทิ การเข้าซื้อหุ้น ใน "Dynachisso Thai" บริษัทสัญชาติไต้หวัน เพื่อเดินหน้าธุรกิจพลาสติกวิศวกรรม พีพี คอมพาวด์ (PP Compound) เรามีเป้าหมายลงทุนในบริษัทที่พร้อมลงทุนต่อเนื่องได้ทันที มีเทคโนโลยีที่เหมาะสม


นอกจากนี้ ยังได้มีการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ประกอบด้วย โครงการ Olefin Reconfiguration Project (ORP) สร้างแนฟทา แครกเกอร์ (Naphtha Cracker) โครงการโพรพิลีน ออกไซด์ (Propylene Oxide : PO) และโครงการโพลีออลส์ (Polyols) ร่วมทุนกับบริษัทฯ ญี่ปุ่น ผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมโพลียูรีเทน (Polyurethane) อุตสาหกรรมรถยนต์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป้าหมายเพื่อทดแทนการนำเข้า โดยได้ทั้งเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นและยังได้ตลาดทั่วโลกอีกด้วย ถือเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประเทศไทย โดยโครงการต่าง ๆ นี้จะสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปีนี้


สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2563 มีรายได้จากการขายรวม 69,271 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 26 จากไตรมาส 1/2563 และลดลงร้อยละ 35 จากไตรมาส 2/2562 โดยบริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและการกลับรายการมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ กำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง) ในไตรมาส 2/2563 อยู่ที่ 1,409 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 1,128 ล้านบาท หรือปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 โดยมี Adjusted EBITDA ในไตรมาส 2/2563 อยู่ที่ 6,463 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากไตรมาส 1/2563 แต่ลดลงร้อยละ 15 จากไตรมาส 2/2562


อย่างไรก็ดี บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและการกลับรายการมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Loss Net Reversal of NRV) เป็นผลขาดทุนรวม 899 ล้านบาท รวมทั้งผลการขาดทุนตราสารอนุพันธ์ 340 ล้านบาท และจากการแข็งค่าของค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่องตลอดไตรมาสจึงส่งผลให้บริษัทฯ มีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 1,501 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 1,671 ล้านบาท (0.37 บาท/หุ้น) ปรับสูงขึ้นจาก ไตรมาส 1/2563 ร้อยละ 119


>>>สามารถอ่านข่าวเพิ่มเติมได้ทาง http://www.newsconnext.com
หรือติดตามผ่านช่อง Line@ ได้ที่ News Connext
ช่องทาง Fanpage Facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/connextnews