Phones





NRF เทรดวันแรกพุ่ง96% นำเงินIPOขยายกิจการ

2020-10-09 14:02:01 708




นิวส์ คอนเน็คท์ - NRF เข้าเทรดวันแรกพุ่งกว่า 96% นำเงินจากการระดมทุนไปขยายกิจการ มั่นใจดันยอดขายปีนี้โต 15-20% ตามทุกผลิตภัณฑ์ขายดี มีแผนดันยอดขายวิ่งสู่ 3 พันล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า


เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2563 บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF เข้าจดทะเบียนและทำการซื้อขายใน SET เป็นวันแรก โดยเปิดซื้อขายที่ราคา 9.05 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 4.45 บาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 96% จากราคา IPO ที่ 4.60 บาท โดยมีราคาสูงสุดหลังจากเปิดตลาดภาคเช้าอยู่ที่ 9.20 บาท และภายหลังจากนั้นได้มีแรงขายออกมา จึงทำให้ราคาปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ราคาหุ้น NRF ปิดตลาดภาคเช้าอยู่ที่ 6.50 บาท โดยมีมูลค่าซื้อขายรวมอยู่ที่ 4.91 พันล้านบาท


อนึ่ง บริษัทเป็นผู้ผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร อาหารมังสวิรัตที่ไม่มีส่วนผสมของไข่และนม อาหารโปรตีนจากพืช และเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ


ด้านนายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NRF เปิดเผยว่า บริษัทพอใจราคาหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรกโดยได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าภาพรวมยอดขายทั้งปี 2563 จะเติบโต 15-20% จากปี 2562 โดยประเมินว่าในช่วงครึ่งปีหลัง จะเห็นการเติบที่ดีมากกว่าครึ่งปีแรก จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารของผู้บริโภคที่หันมาเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นทางเลือกใหม่ ดีต่อสุขภาพ รวมถึงคุณภาพที่ดี และคาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2564 หลังจากความต้องการยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง


อีกทั้งตั้งเป้าหมายที่จะมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3,000 ล้านบาท ภายในปี 2567 หรือ 5 ปีข้างหน้า จากปี 2562 ที่มียอดขาย 1,111 ล้านบาท โดยบริษัทจะให้ความสำคัญในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารไทยและอาหารท้องถิ่น (Ethnic Food) ผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช (Plant-based Food) และ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน (Functional Products)


โดยหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทได้วางแผนขยายการลงทุนในระยะเวลาปี 2563-2565 ด้วยเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,068 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Ethnic Food ใช้งบลงทุน 270 ล้านบาท อาทิ ขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงกระบวนการผลิตของบริษัทฯ และ City Food ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตได้ประมาณ 35%จากปัจจุบันมีกำลังผลิต 19,000 ตันต่อปี และแผนเข้าซื้อหุ้นที่เหลืออีก 85% จากบริษัท ซิตี้ฟูด จำกัด ซึ่งก่อนหน้าได้เข้าลงทุนในสัดส่วน 15% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว โดยมีโรงงานที่จังหวัดนครปฐมและราชบุรี โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย.-ธ.ค. ปี 63 และจะรวมงบเข้ามาทันที


นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Plant-Based Food หรือผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช ด้วยงบลงทุน 408 ล้านบาท แบ่งเป็น การสร้างโรงงานผลิตอาหารโปรตีนจากพืชในประเทศไทย การเข้าซื้อโรงงานผลิตอาหารโปรตีนจากพืชในประเทศอังกฤษและสหรัฐฯ โดยร่วมทุนกับ THE BRECKS COMPANY LIMITED หรือ ‘เบรคส์’ เพื่อจัดตั้งบริษัท Plant and Bean Ltd. ที่ประเทศอังกฤษ ปัจจุบัน NRF ถือหุ้นในสัดส่วน 25% และมีแผนลงทุนเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นอีก 25% รวมเป็น 50% ในปี 2564 การลงทุนเพิ่มใน Big Idea Venture และ New Protein Fund I เพื่อได้รับโอกาสในการเพิ่มลูกค้าโดยการเป็น preferred co-packer ให้กับสตาร์ทอัพ พร้อมทั้งได้รับความรู้และเทคโนโลยีล่าสุดของอุตสาหกรรม และลงทุนในเครื่องจักรผลิตเส้นบุกเครื่องที่ 2 เพื่อขยายกำลังการผลิต คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ในไตรมาส 4/63


ด้านการลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Functional Products หรือ ธุรกิจผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม (V-shapes) และมีแผนร่วมลงทุนเครื่องจักร V-shape อีก 5 เครื่อง ใช้เงินลงทุนกว่า 90 ล้านบาท หลังบริษัทฯ ได้เข้าทำสัญญากับ Fluid Energy Group LTD ผู้นำนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้บริการเครื่องจักร V-shape สำหรับผลิตสินค้า Sanitization เพื่อจำหน่ายในประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา และแถบตะวันออกกลาง และลงทุนใน E-Commerce Platform รวมกว่า 300 ล้านบาท โดยจะร่วมทุนกับ Boosted ECommerce Inc. (Boosted) ใน 2 รูปแบบ คือ ลงทุนในกลุ่มบริษัท Boosted Ecommerce Inc. (Boosted) เพื่อบริหารจัดการธุรกิจ e-commerce ของ Third-party seller บน Amazon e-commerce platform และร่วมจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อลงทุนใน Consumer Package Goods ในอุตสาหกรรมอาหาร (รวมถึง pet food)


ด้านนางสาวเพ็ญอุไร ไชยชัชวาล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบัญชีและการเงิน NRF เปิดเผยว่า สำหรับความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนนั้น บริษัทได้มีการจัดการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในสัดส่วนกว่า 99% ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าในยุโรป เพื่อให้เปลี่ยนมาซื้อขายกันด้วยสกุลเงินยูโร จากปัจจุบันที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคาดว่าภายในระหว่างปี 2563- 2564 จะมีสัดส่วนยอดขายเป็นสกุลเงินยูโรเพิ่มมาเป็น 15-20%


อีกทั้งการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้ เป็นจุดที่ทำให้บริษัทจะหันมารุกขยายตลาดทั้งในประเทศไทย และแถบเอเชีย โดยจะใช้การขายในสกุลเงินบาท เพื่อกระจายความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งค่าเงินที่ปรับตัวขึ้น-ลง 1 บาท/ดอลลาร์สหรัฐนั้น จะกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทประมาณ 1%


 


>>>สามารถอ่านข่าวเพิ่มเติมได้ทาง http://www.newsconnext.com
หรือติดตามผ่านช่อง Line@ ได้ที่ News Connext
ช่องทาง Fanpage Facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/connextnews