Phones





IRPC ไตรมาส 3/63 พลิกมีกำไร 1,556 ล้านบาท

2020-11-10 17:13:04 294




นิวส์ คอนเน็คท์ - IRPC โชว์ผลประกอบการไตรมาส 3/63 พลิกมีกำไรสุทธิ 1,556 ล้านบาท ผลมาจากกำไรสต๊อกน้ำมัน ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มปิโตรเคมีดีขึ้น คาดความต้องการผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกพุ่งรับเทศกาลปีใหม่ พร้อมขยายผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มHVA ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 30% ในปี 67 รับเทรนด์โลกเปลี่ยน


เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/63 IRPC มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 4,937 ล้านบาท (8.74 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากการที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มปิโตรเคมีปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ ABS ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสไตรีนิคส์ ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการสินค้าจากประเทศจีนปรับตัวสูงขึ้นแม้ว่าต้นทุน crude premium ปรับตัวสูงขึ้น และส่วนต่างราคากลุ่มปิโตรเลียมส่วนใหญ่ยังคงถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาด COVID-19


ประกอบกับได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากความร่วมมือในการลดกำลังการผลิตของกลุ่มผู้ผลิตในโอเปกและนอกกลุ่มโอเปก รวมถึงความต้องการบริโภคน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ IRPC มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิรวม 3,770 ล้านบาท หรือ 6.67 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 8,707 ล้านบาท หรือ 15.41 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3,949 ล้านบาท หรือร้อยละ 83 และส่งผลให้ IRPC มีกำไรสุทธิ 1,556 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 411 ล้านบาท


สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 4/63 คาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกับไตรมาส 3/63 โดยมีปัจจัยที่เป็นแรงผลักดันราคาจากการบริโภคน้ำมัน ที่คาดว่าจะสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาวปลายปี ซึ่งคาดว่าจะหนาวกว่าปกติ และการที่กลุ่มโอเปกได้แสดงเจตนารมณ์ในการควบคุมการผลิตเพื่อรักษาสมดุลตลาด รวมถึงการลดลงของปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ ที่อ่าวเม็กซิโก ซึ่งได้รับผลกระทบจากพายุ ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลง


อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยที่กดดันราคาจากการที่กลุ่มโรงกลั่นกลับมาเดินกำลังการผลิตหลังฤดูการหยุดซ่อมบำรุงการผ่อนคลายการควบคุมการผลิตของกลุ่มโอเปก การกลับมาส่งออกของประเทศลิเบียหลังจากสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศคลี่คลาย และการระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในบางประเทศของยุโรป แม้ว่าจะมีความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีน แต่มีการประเมินว่ายังต้องใช้เวลาถึงกลางปี 64 จึงสามารถใช้งานได้


ขณะที่ความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในไตรมาส 4/63 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ในบางประเทศ ทำให้โรงงานกลับมาผลิตสินค้าเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการใช้พลาสติกสูงขึ้นตามพฤติกรรมการบริโภคในยุค New Normal และการ Stock เม็ดพลาสติกเพื่อผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปลายปี ประกอบกับการหยุดซ่อมบำรุงของโรงงานปิโตรเคมีในภูมิภาคช่วงปลายปี ซึ่งทำให้อุปทานตึงตัว แม้ว่าอาจจะมีปัจจัยเสี่ยงจากการทยอยกลับมาผลิตของผู้ผลิตเดิมที่ต้นทุนสูงและหยุดซ่อมบำรุง รวมถึงกำลังการผลิตใหม่ที่จะมีเพิ่มขึ้น และการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19


นอกจากนี้ IRPC ยังคงเน้นการผลิตสินค้ากลุ่มที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA: High Value Added Products) สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี โดยในปัจจุบันสัดส่วนการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty grade) อยู่ที่ 13% และมีเป้าหมายเพิ่มการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ เป็น 30% ในปี 67 โดยจะเน้นไปที่เม็ดพลาสติกเกรดที่ใช้สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ และเม็ดพลาสติกชนิดความหนาแน่นสูงและทนทานมากกว่าโพลิเอทิลีนทั่วไป 10 เท่า หรือ UHMW-PE (Ultra High Molecular Weight Polyethylene) ที่นำไปใช้ในงานผลิตแผ่นกั้นแบตเตอรี่ (Battery separator) ข้อเข่าเทียม เชือกลากจูงเรือ เป็นต้น


 


>>>สามารถอ่านข่าวเพิ่มเติมได้ทาง http://www.newsconnext.com
หรือติดตามผ่านช่อง Line@ ได้ที่ News Connext
ช่องทาง Fanpage Facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/connextnews