นิวส์ คอนเน็คท์ - GULF กำไรไตรมาส 4/63 เพิ่มขึ้น 85% หลังเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลที่เยอรมนี ขณะที่รายได้ทั้งปีทำได้กว่า 3.5 หมื่นล้านบาท กำไร 4.2 พันล้านบาท คาดปี 64 ผลงานโต 50% หลังกุมกำลังผลิตไฟฟ้าในมือเพิ่มเป็น 7,903 เมกะวัตต์

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2564 บริษัทได้รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 63 โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) เท่ากับ 1,239 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 465 เมกะวัตต์ ที่ประเทศเยอรมนี ในไตรมาส 4 ปี 63 เป็นไตรมาสแรก หลังจากที่ GULF ได้เข้าซื้อหุ้น 50% ในเดือน ก.ย. 63 นอกจากนี้ ยังได้รับอานิสงส์จากโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลกัลฟ์ จะนะ กรีน (GCG) กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 25 เมกะวัตต์ ซึ่งได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือน มี.ค. 63

โดยในปี 63 GULF มีรายได้รวม (Total Revenue) เท่ากับ 35,833 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปี 62 และมี Core Profit เท่ากับ 4,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จาก 3,509 ล้านบาทในปีก่อน โดยปัจจัยหลักคือการรับรู้กำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 กำไรของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG และรับรู้กำไรเต็มปีของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม จำนวน 119 เมกะวัตต์ ประกอบกับต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ลดลงจาก 272.90 บาท/ล้านบีทียู ในปี 62 เป็น 244.51 บาท/ล้านบีทียู ในปี 63 ขณะที่ ค่า Ft เฉลี่ยลดลงในอัตราที่น้อยกว่า จาก (0.1160) บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี 62 เป็น (0.1188) บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี 63 ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย (Gross Profit Margin) สูงขึ้นจาก 23.9% ในปี 62 เป็น 27.6% ในปี 63

ทั้งนี้ กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP 7 โรงภายใต้กลุ่ม GJP ยังมีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. เพิ่มขึ้น เนื่องจากในปี 62 มีการหยุดซ่อมบำรุงหลัก (Major Overhaul) ของโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 6 โครงการ ขณะที่ปี 63 มีโรงไฟฟ้า SPP หยุดซ่อมบำรุงหลักเพียง 1 โครงการ ในส่วนของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP 12 โรงภายใต้กลุ่ม GMP มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. เพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากปี 63 เป็นปีแรกที่โครงการ 12 SPPs ทั้งหมดภายใต้กลุ่ม GMP ขายไฟฟ้าครบเต็มปีหลังจากทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 60-62

อย่างไรก็ตาม กลุ่ม GJP และ GMP มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมลดลงเล็กน้อยในปี 63 เมื่อเทียบกับปี 62 เนื่องจากลูกค้าบางส่วนได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เช่นกลุ่มยานยนต์ และกลุ่มสิ่งทอ ในขณะที่ลูกค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มบรรจุภัณฑ์มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในช่วงดังกล่าว จึงทำให้บริษัทฯ ได้รับผลกระทบอย่างจำกัดจาก COVID-19 ซึ่งปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมกลับมาฟื้นตัวสู่ระดับปกติแล้วในช่วงปลายปี 63 ปัจจุบัน บริษัทฯ ขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ในสัดส่วน 88% และขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมเพียง 12% นอกจากนี้ กำไรในปี 63 ที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการที่บริษัทฯ ได้รับเงินปันผลจากการลงทุนใน INTUCH จำนวน 295 ล้านบาท และ SPCG จำนวน 142 ล้านบาท อีกด้วย

ในส่วนของกำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่สำหรับปี 63 เท่ากับ 4,282 ล้านบาท ลดลง 12.4% จากปีก่อน เนื่องจากรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของบริษัทฯ แต่อย่างใด

สำหรับรายได้ของปี 64 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 50% จากปี 63 เนื่องมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า IPP 2,650 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการ GSRC หน่วยที่ 1 และ 2 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,325 เมกะวัตต์ โดยจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือน มี.ค. และ ต.ค. 64 อีกทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเวียดนาม (Mekong Wind) ระยะที่ 1-3 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 128 เมกะวัตต์ จะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือน พ.ค. และ ต.ค. 64 และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ประเทศโอมาน จำนวน 326 เมกะวัตต์ (DIPWP) ระยะที่ 1 ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 40 เมกะวัตต์ จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 2 ปีนี้ ซึ่งทั้งหมดจะทำให้ GULF มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งเพิ่มขึ้นจาก 6,409 เมกะวัตต์ ในปี 53 เป็น 7,903 เมกะวัตต์ในปี 64 นอกจากนี้ ในปี 64 บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้กำไรเต็มปีจากโครงการโรงไฟฟ้าลมในทะเล BKR2 และโครงการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ PTT NGD ที่บริษัทฯ ได้เข้าซื้อในสัดส่วน 40% ในเดือน ธ.ค. 63 ประกอบกับรับรู้เงินปันผลที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในหุ้น INTUCH อีกด้วย

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 64 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 63 ในอัตราหุ้นละ 0.38 บาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิเท่ากับ 88% โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 8 มี.ค. 64 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 เม.ย. 64 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 5 มี.ค. 64 และกำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 64 วันที่ 9 เม.ย. 64

>>>สามารถอ่านข่าวเพิ่มเติมได้ทาง http://www.newsconnext.com
หรือติดตามผ่านช่อง Line@ ได้ที่ News Connext
ช่องทาง Fanpage Facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/connextnews