Phones





NER ปี 67 ดันยอดขาย 5 แสนตัน

2023-12-20 11:23:46 767



NER ปี 67 ดันยอดขาย 5 แสนตัน (สกู๊ปพิเศษ)
ผ่านไป 9 เดือน สำหรับงบปี 2566 ของบริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ ยังคงเติบโตแข็งแกร่ง โดย
สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 66 มีปริมาณขาย 369,478 ตัน เพิ่มขึ้น 60,868 ตัน หรือ 19.72% คิดเป็นรายได้จากการขายรวม 18,439.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 353.55 ล้านบาท หรือ 1.95% แบ่งเป็น รายได้จากการขายในประเทศ 11,949.62 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 64.80% และรายได้จากการขายต่างประเทศ 6,490.28 ล้านบาท คิดเป็น 35.20% ของยอดขายรวม และมีกำไรสุทธิ 1,083.87 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 5.88% ของรายได้จากการขายรวม
 
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NER ย้ำว่า ภาพรวมปี 66 บริษัทยังคงตั้งเป้าปริมาณขายสินค้าที่ 500,000 ตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 515,600 ตัน โดยการเติบโตมาจากการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าต่างๆ และความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทยังได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีการขายให้กับลูกค้าไปถึงไตรมาสที่ 1/2567 แล้ว จากอานิสงค์ของคำสั่งซื้อจากประเทศจีนที่ยังมีความต้องการสูงและราคายางที่ปรับตัวดีขึ้น
 
นอกจากนี้ บริษัทมีการวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิตและต้นทุนในการดำเนินงาน เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรเพื่อรองรับการผลิตที่มากขึ้นในอนาคต ตลอดจนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงงานเพิ่มเติม โดยปัจจุบันบริษัทฯมีพลังงานหมุนเวียน คือ พลังงานจากแสงอาทิตย์(โซลาร์เซลล์)และไบโอแก๊สที่ผลิตเพื่อใช้งานเองภายในบริษัท รวมกำลังการผลิต 8 เมกกะวัตต์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าพลังงานของบริษัทได้เป็นอย่างดี
 
ด้านสถานการณ์ราคายางพารา เริ่มมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด (Demand) ภาวะฟื้นตัวของอุตสาหกรรมทั้งตลาดในและต่างประเทศ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีแนวโน้มขยายตัวหนุนความต้องการใช้ยางในภาคก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าดูอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังได้รับกดดันจากอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ ค่าเงินบาท

นายชูวิทย์ ยังย้ำว่า บริษัทฯ ยังดำเนินโครงการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งมิติด้านสิ่งแวดล้อม มิติด้านสังคม และมิติด้านบรรษัทภิบาล อาทิ โครงการห่วงโซ่อุปทานเพื่อความยั่งยืน โครงการตลาดสีเขียว โครงการห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ โครงการ NER ร่วมใจลดขยะพลาสติก โครงการตรวจสุขภาพกลุ่มเปราะบาง โครงการส่งสุขความรู้สู่ดวงใจพนักงานผ่านคาราวานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น และจะดำเนินโครงการเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคมมากยิ่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปพร้อมกับการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัท

ด้านนายศักดิ์ชัย จงสถาพงษ์พันธ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบริหารบัญชี-การเงิน เผยว่า แผนดำเนินงานปี 67 บริษัทตั้งเป้าปริมาณการขายไม่ต่ำกว่า 500,000 ตัน เนื่องจากปัจจุบันเดินเครื่องกำลังการผลิตอยู่ในระดับที่สูง และรายได้จากการขายคาดว่าจะเติบโตมากกว่าปี 66 จากราคายางที่สูงขึ้น 
"สำหรับแผนธุรกิจปี 67 บริษัทตั้งเป้าปริมาณการขายไม่ต่ำกว่า 500,000 ตัน เนื่องจากปัจจุบันเดินเครื่องกำลังการผลิตอยู่ในระดับที่สูง และรายได้จากการขายคาดว่าจะเติบโตมากกว่าปี 66 จากราคายางที่สูงขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตสินค้าประเภทยางแท่งและยางแท่งผสม โดยจะขอนำเสนอบอร์ดเพื่อพิจารณาอนุมัติเงิน 1,200 ล้านบาท สำหรับการลงทุนก่อสร้างโรงงานยางแท่งและยางผสมแห่งที่ 3 มีกำลังการผลิต 302,400 ตัน ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 เฟส เฟสแรก จะมีกำลังการผลิต 172,800 ตัน คาดว่าโรงงานจะสร้างเสร็จปลายปี 67 และเริ่มรับรู้รายได้ในปี 68" นายศักดิ์ชัย กล่าว

ภายหลังจากการขยายกำลังการผลิต บริษัทจะมีกำลังการผลิตสินค้ารวมทั้งสิ้น 818,000 ตันต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 515,600 ตัน โดยยังมุ่งเน้นการขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับกำลังการผลิตใหม่ที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีการเซ็นสัญญากลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายราย ทั้งในประเทศจีน สิงคโปร์ อินเดีย และไทย และคาดว่าจะมีลูกค้าใหม่เพิ่มอีกหลายราย

การเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และการจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นในระดับดีมาโดยตลอด จึงไม่ปลแกที่บรรดาโบรกเกอร์หลายสำลัก ยังคงประสานเสียงเชียร์ "ซื้อ" สำหรับหุ้น NER

โดย บล.หยวนต้า ระบุ มองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน อาจเป็นอีกปัจจัยหนุนการปรับเพิ่มขึ้นของราคายางตลาด SICOM ให้สูงกว่าประมารการได้ ทั้งนี้ คงประมาณการรายได้ปี 67 ไว้ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท (+2.1% YoY) และปรับประมาณการอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) เพิ่มขึ้นเป็น 11.6% จาก 10.9% และปรับลดดอกเบี้ยจ่ายลดลง 7.4% จากผลของการจ่ายคืนหุ้นกู้ที่อัตราดอกเบี้ยสูง ทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลง ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 67 เพิ่มขึ้น 8.6% เป็น 1,755 ล้านบาท (+9.0% YoY) อิง PER ที่ 7.14 เท่าตามเดิม ได้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 67 ที่ 6.80 บาท จากเดิม 6.20 บาท และราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER67 ต่ำเพียง 4.8 เท่า และคาดเงินปันผลงวดครึ่งปีหลังอีก 0.29 บาทค่อหุ้น ให้ผลตอบแทน 6.3% คงคำแนะนำ " ซื้อ" พร้อมทั้งยกให้เป็นหุ้น Top pick กลุ่มเกษตรและอาหารในไตรมาส 4/66 ขณะที่ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 6.30 บาท บล.พาย ให้ราคาเป้าหมาย 5.87 บาท