Phones





EPG วางเป้าปีบัญชี 67/68 (เม.ย.67 – มี.ค.68) ยอดขายเติบโต 8 - 10%

2025-01-15 14:20:24 59



นิวส์ คอนเน็คท์ - EPG ชูกลยุทธ์สร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงและโอกาสให้แก่ธุรกิจ วางเป้าปีบัญชี 67/68 (เม.ย.67 – มี.ค.68) ยอดขายเติบโต 8 - 10% และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 30 - 33%

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่าปี 2568 เป็นปีที่ภาคธุรกิจต้องเตรียมตัวรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ทั้งจากปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ การกีดกันการค้าที่ทวีความรุนแรง และ สงครามการค้ารอบใหม่ เป็นต้น เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้จะมีอะไรเป็นบวกหรือลบกับบริษัทบ้างนั้น เป็นสิ่งจำเป็นที่บริษัทต้องปรับกลยุทธ์และวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและการคว้าโอกาสให้แก่ธุรกิจ

สำหรับปัจจัยในต่างประเทศ - สหรัฐอเมริกา เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งที่ 2 แล้ว คาดว่าจะนำแนวนโยบายจากการหาเสียงมาใช้ ในกรณีของการปฏิรูปภาษี มีข้อเสนอเรื่องขยายระยะเวลาการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล และ การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในบางกลุ่มธุรกิจ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้น หากพิจารณาถึงธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex ในสหรัฐอเมริกา Aeroflex USA Inc. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท (บริษัทถือหุ้น 100%) ควรจะได้รับประโยชน์ในกรณีดังกล่าว 

ส่วนกรณีการใช้นโยบายอัตราภาษีศุลกากรพื้นฐานทั่วไป (Universal Baseline Tariff) ซึ่งจะกำหนดอัตราภาษีพื้นฐาน 10% หรือมากกว่า สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ ตั้งเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตในประเทศ และ ลดการพึ่งพาสินค้าจากต่างประเทศนั้น ปัจจุบัน Aeroflex USA Inc. นำเข้าวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปจาก บริษัท แอร์โรเฟลกซ์ จำกัด, ประเทศไทย เพื่อนำไปผลิตต่อในสหรัฐอเมริกา โดยอัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูป ต่ำกว่าสินค้าสำเร็จรูป จึงต้องรอความชัดเจนของนโยบายฯ อีกครั้ง 

ส่วนประเด็นที่มีความเกี่ยวข้องกับแรงงาน Aeroflex USA Inc. ใช้แรงงานที่มีทักษะและถูกต้องตามกฎหมายในสหรัฐอเมริกา อีกทั้ง ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติความเร็วสูงและเทคโนโลยีใหม่ เพื่อทดแทนแรงงานบางส่วน นอกจากนี้ นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในสหรัฐอเมริกา ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนในสหรัฐอเมริกาและส่งผลบวกต่อธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น เช่นกัน ในประเด็นสงครามการค้า ผลบวกที่จะเกิดขึ้นคือการย้ายฐานการผลิตเข้ามายังประเทศไทย โดยปัจจุบัน บริษัท แอร์โรเฟลกซ์ จำกัด เริ่มได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตและสร้างโรงงานผลิตใหม่ ได้แก่ โรงงานผลิตยานยนต์ EV และ Data Center เป็นต้น

สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศและผู้บริโภคเลือกใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดหดตัว ได้แก่ หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น กำลังซื้อลดลง ความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อยานยนต์ และการแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายยานยนต์จีน เป็นต้น ทั้งนี้ ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จึงคาดหวังว่าจะสามารถลดภาระหนี้ครัวเรือน รวมทั้งการผ่อนปรนเกณฑ์อนุมัติสินเชื่อยานยนต์ เพื่อช่วยให้ยอดขายยานยนต์ในปี 2568 กลับมาเติบโตอีกครั้ง 

รศ.ดร.เฉลียว กล่าวต่อว่าในปีบัญชี 67/68 (เม.ย.67 – มี.ค.68) บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโตประมาณ 8 - 10% และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 30 - 33% โดยผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน ปีบัญชี 67/68 (เม.ย. - ก.ย.67) บริษัทมียอดขาย 7,182 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขาย 6,285 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 34% เป็นไปตามเป้าหมาย แม้ว่ามีกำไรสุทธิ 391 ล้านบาท ลดลง 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และการตั้งสำรองผลขาดทุนทางเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) อย่างไรก็ตาม กรณี ECL ที่เกิดขึ้น บริษัทได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นขั้นตอน ปัญหาในกระบวนการผลิตของธุรกิจร่วมทุนในแอฟริกาใต้ได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับ Supply chain ทั้งหมด ซึ่งเริ่มเห็นการปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ

การดำเนินงานของธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas และ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP สามารถดำเนินงานได้ตามแผนธุรกิจ อีกทั้ง บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมทุนอย่างสม่ำเสมอ คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีบัญชีนี้(ต.ค.67 - มี.ค.68) ธุรกิจจะสามารถเติบโตได้ดีตามเป้าหมายที่ตั้งไว้