Phones





SCB EIC มองภาคการก่อสร้าง-วัสดุก่อสร้างปี 69 หดตัว

2025-10-31 18:35:19 111



 
นิวส์ คอนเน็คท์ – SCB EIC ประเมินแนวโน้มภาคก่อสร้างปี 69 ทรงตัว อยู่ที่ 1.41 ล้านล้านบาท หลังยังต้องเผชิญปัจจัยกดดันทั้งด้านต้นทุนก่อสร้างยังอยู่ในระดับสูง และปัญหาแรงงานขาดแคลน ขณะที่ทิศทางตลาดวัสดุก่อสร้างในปี 69 มีแนวโน้มหดตัวเล็กน้อย จากปัจจัยด้านราคาวัสดุก่อสร้าง
 
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 นางกัญญารัตน์ กาญจนวิสุทธิ์ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยว่า ภาพรวมมูลค่าอุตสาหกรรมก่อสร้างในปี 2569 มีแนวโน้มทรงตัว อยู่ที่ 1.41 ล้านล้านบาท ในส่วนของมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัว 1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แตะระดับ 860,000 ล้านบาท โดยเผชิญแรงกดดันจากกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2569 ในส่วนของวงเงินงบลงทุนลดลง 5% จากปีงบประมาณ 2568 ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ดี Mega project ที่กำลังดำเนินการมีความคืบหน้า รวมถึงในปี 2569 จะมีการเริ่มประมูล Mega project ใหม่ๆ
 
สำหรับมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนในปี 2569 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ 551,000 ล้านบาท ลดลง 1% จากปีก่อนหน้า โดยการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องไปตามภาวะตลาดที่อยู่อาศัยที่หดตัว ขณะที่การก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์มีแนวโน้มทรงตัว ทั้งนี้พื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ที่หดตัวสูงในปี 2567 และมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องในปี 2568 ส่งผลให้กิจกรรมการก่อสร้างภาคเอกชนชะลอตัวในระยะข้างหน้า
 
ทั้งนี้ ภาคก่อสร้างยังเผชิญความท้าทายในปี 2569 ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนก่อสร้างยังอยู่ในระดับสูง แม้ราคาวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มลดลง แต่ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับก่อนปี 2565 ประกอบกับจำนวนแรงงานพื้นฐานชาวเมียนมามีแนวโน้มลดลง อาจเป็นแรงกดดันให้ค่าแรงปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในภาคก่อสร้าง โดยเฉพาะผู้ว่าจ้างโครงการก่อสร้างเข้มงวดกับคุณภาพ และมาตรฐานวัสดุก่อสร้าง รวมถึงขั้นตอนการก่อสร้างมากขึ้น อีกทั้งบทบาทของผู้รับเหมาสัญชาติจีน ที่ส่งผลให้มีการแข่งขันด้านราคาในการเข้าประมูลงาน รวมถึงกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องใน Supply chain โดยใช้วัสดุก่อสร้างจากจีนมากขึ้น
 

สำหรับความท้าทายในระยะปานกลาง ได้แก่ ภาวะ Oversupply ของภาคอสังหาริมทรัพย์, Productivity ของภาคก่อสร้างอยู่ในระดับต่ำ และแรงกดดันในการลดการปล่อย Emission ทั้งนี้ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างมีแนวทางการปรับกลยุทธ์ ดังนี้ 1. เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ โดยร่วมมือกับพันธมิตร รวมถึงระมัดระวังการเข้าประมูลแบบแข่งขันด้านราคา, 2. ควบคุมต้นทุนก่อสร้าง โดยเป็นพันธมิตรกับผู้ค้า และผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างอย่างหลากหลาย ทำสัญญาสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างล่วงหน้า รวมถึงวางแผนการใช้แรงงาน, 3. ให้ความสำคัญกับการบริหาร Backlog โดยปรับสัดส่วนในการเข้าประมูลงานก่อสร้างภาครัฐ และภาคเอกชนอย่างเหมาะสม รวมถึงดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผน
 
4. สร้างความน่าเชื่อถือ โดยยกระดับความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างต่างชาติที่มีความน่าเชื่อถือ, 5. ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่ม Productivity โดยลงทุนนำเทคโนโลยีก่อสร้างมาใช้ เป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างต่างชาติที่ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี รวมถึงพัฒนาบุคลากร และ 6. ลดการปล่อย Emission โดยกำหนดเป้าหมาย และตัวชี้วัด ไปจนถึงรายงานผลการดำเนินการ เป็นพันธมิตรกับผู้ค้า และผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลงทุนนำเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ทั้งในพื้นที่ก่อสร้าง และสำนักงาน
 

ด้านนางสาววรรณโกมล สุภาชาติ นักวิเคราะห์ SCB EIC กล่าวว่า อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างปี 2569 ในภาพรวมมีแนวโน้มหดตัวเล็กน้อย จากปัจจัยด้านราคาวัสดุก่อสร้าง ทั้งเหล็ก ปูนซีเมนต์ กระเบื้อง และสีทาอาคารในปี 2569 มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ตามต้นทุนราคาราคาวัตถุดิบ และพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นสินแร่เหล็ก ถ่านหิน น้ำมัน และค่าไฟฟ้า รวมถึงสถานการณ์การแข่งขันด้านราคาที่ค่อนข้างรุนแรง ยังเป็นปัจจัยกดดันให้ราคากระเบื้องมีแนวโน้มปรับตัวลดลง อย่างไรก็ดี ราคาวัสดุก่อสร้างยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับราคาในอดีต
 
ในส่วนของปริมาณการใช้งานวัสดุก่อสร้างในปี 2569 เผชิญแรงกดดันในภาคการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่หดตัว ที่ส่งผลให้ปริมาณการใช้งานวัสดุก่อสร้างที่พึ่งพาการก่อสร้างภาคเอกชนเป็นหลักหดตัว ทั้งการใช้งานกระเบื้องปูพื้น/บุผนัง และสีทาอาคาร ขณะที่ปริมาณการใช้งานเหล็กทรงยาว และเหล็กทรงแบนในปี 2569 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 6.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.5% จากปีก่อนหน้า และ 10.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.2% จากปีก่อนหน้า ตามลำดับ รวมถึงปริมาณการใช้งานปูนซีเมนต์ในปี 2569 มีแนวโน้มอยู่ที่ 36.1 ล้านตัน ทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2568 โดยยังเผชิญกับความท้าทาย จากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่กระทบต่อโครงการก่อสร้างภาครัฐ
 
สำหรับประเด็นที่ยังต้องจับตาคือสินค้าต่างประเทศที่จะถูกระบายเข้ามาไทยมากขึ้น จากผลกระทบของสงครามการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะเหล็ก ที่เผชิญการทะลักเข้ามาของเหล็กจีน และถูกซ้ำเติมด้วยเหล็กญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งจะมีแนวโน้มถูกระบายเข้ามามากขึ้น เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศ เคยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กของสหรัฐฯ มาก่อนที่จะมีการยกเลิกการยกเว้นและปรับเพิ่มอัตราภาษี นอกจากนี้ ผลกระทบจากสงครามการค้าของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้เกิดการระบายกระเบื้องจากทั้งจีน เวียดนาม และอินเดียมายังไทยมากขึ้น
 
ทั้งนี้ ปัจจัยกดดันรอบด้านในปี 2569 ส่งผลให้ธุรกิจวัสดุก่อสร้างต้องปรับกลยุทธ์ โดยผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างควรแสวงหาโอกาสจากการจับขั้วทางเศรษฐกิจ รับมือกับสินค้าจีน ควบคุมมาตรฐานการผลิตสินค้าตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงลดการปล่อย Emission จากกระบวนการผลิต สำหรับผู้ค้าวัสดุก่อสร้าง ต้องติดตามสถานการณ์ และแนวโน้มของอุตสาหกรรม จัดจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพ เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และนำเทคโนโลยีมาปรับใช้
 
อ่านต่อรายงานฉบับเต็มได้ที่... https://www.scbeic.com/th/detail/product/Construction-and-Building-Materials-301025