Phones
หน้าแรก
Stock
เศรษฐกิจมหภาค
แบงก์ - Finance
อสังหาริมทรัพย์ - Marketing
ประกัน - ท่องเที่ยว
Variety
สกู้ป พิเศษ
SET
โบรกฯ ส่อง GUNKUL โตแกร่ง เคาะเป้าซื้อ 2.50 บ./หุ้น
MAI
IND ย้ำชัด! ถนนทรุดไม่กระทบ อัพรายได้โตเกิน 15%
IPO
ATLAS ฮอต! ไอพีโอขายเกลี้ยง เทรด SET 20 ต.ค.นี้
บล./บลจ
SCB WEALTH เปิดกอง ‘SCBUSDABSAP’ รับดอลลาร์อ่อน
เศรษฐกิจ-การเงิน-การคลัง
กนง. มติ 5:2 คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% ต่อปี
การค้า - พาณิชย์
บสย. เดินหน้าค้ำประกันกลุ่มลีสซิ่งผ่านมาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ”
พลังงาน - อุตสาหกรรม
BANPU ผนวก AI กับศักยภาพพนักงาน ขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต
คมนาคม - โลจิสติกส์
MPJ เล็งเดินหน้าขยายลานตู้คอนเทนเนอร์
แบงก์ - นอนแบงก์
BBL เปิดหลักสูตร The Big Blue Ocean รุ่น 4
ไฟแนนซ์ - ลิสซิ่ง
TIDLOR เคาะดอกเบี้ยหุ้นกู้อายุ 3 ปี ที่อัตรา 2.70%
SMEs - Startup
KBTG คว้ารางวัล The Innovators 2025 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
ประกันภัย - ประกันชีวิต
คปภ. เปิดรับฟังความเห็น ร่างแผนพัฒนาประกันฯ ฉบับที่ 5
รถยนต์
PT Maxnitron Racing Series 2025 จบสนามที่ 3-5
ท่องเที่ยว
พรูเด็นเชียลฯ ร่วมสนับสนุน ซีนิคฮาล์ฟมาราธอนระยอง
อสังหาริมทรัพย์
เปิดตัว “ศุภาลัย วิลล์ เขาน้อย–ราชบุรี” บ้านซีรีส์ใหม่
การตลาด
KOAN เปิดตัว SHOKZ Monobrand Store แห่งแรกในไทย
CSR
KBTG คว้ารางวัล The Innovators 2025 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
Information
PCE จัดกิจกรรม “โครงการสมาชิกสัมพันธ์”
Gossip
STARM เสิร์ฟโปรเด็ดรับฮาโลวีน! ปั๊มยอดสินเชื่อ
Entertainment
BBL จัดพิธีพุทธาภิเษก ‘พระมงคลมิ่งเมือง’ วัตถุมงคลที่ระลึกงานพระกฐินพระราชทาน
สกุ๊ป พิเศษ
ATLAS หุ้นเด่น! LPG นวัตกรรมสุดล้ำ
การเมืองชัด นโยบายต่อเนื่อง หนุน ศก.ฟื้น
2025-09-16 15:50:59
189
sharer
ศูนย์วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวชัดเจน แต่การขยับขึ้นของเงินเฟ้อ อาจเป็นอุปสรรคต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 2.7% สู่ระดับ 2.9% YoY ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 3.1% สูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 263,000 ราย ประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 6 กันยายน สูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนกันยายนปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ที่ 55.4
เครื่องชี้ทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานยังคงสะท้อนภาพการชะลอตัวที่ต่อเนื่อง อาทิ การจ้างงานนอกภาคเกษตรที่อ่อนแอ อัตราการว่างงานสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี รวมถึงตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่ที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 10 เดือน ซึ่งเพิ่มโอกาสเฟดในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยวิจัยกรุงศรีคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มลงได้อีก 2-3 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) นับจากการประชุมเดือนกันยายนจนถึงสิ้นปีนี้ แต่ความเร็วในการปรับลดยังขึ้นอยู่กับความเสี่ยงเงินเฟ้อที่มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นจากผลกระทบของนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลทรัมป์
ฝั่งโซนยุโรป ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ ECB ส่งสัญญาณใกล้ยุติวงจรดอกเบี้ยขาลง ขณะที่ปัญหาการเมืองในฝรั่งเศส มีโอกาสลากยาว โดย ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.0% ในการประชุมวันที่ 11 กันยายน โดยประธาน ECB ระบุว่า ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมีความสมดุลมากกว่าเดิม พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2568 ขึ้นจาก 0.9% สู่ระดับ 1.2% ส่วนอัตราเงินเฟ้อปีนี้คาดไว้ที่ 2.1% ก่อนปรับลดลงต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% ในปี 2569-70
ปัญหาการเมืองในฝรั่งเศสมีโอกาสลากยาว แม้ว่าประธานาธิบดีมาครงแต่งตั้ง "เซบาสเตียน เลอคอร์นู" รัฐมนตรีกลาโหมเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทนนายฟรองซัว เบย์รู ที่เพิ่งลาออกไป แต่การรวบรวมคะแนนเสียงที่จำเป็นต่อการผ่านร่างกฎหมายต่าง ๆ และงบประมาณประจำปียังคงมีความท้าทาย
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจของยูโรโซน ยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากการบริโภคที่ซบเซา ค่าจ้างที่โตชะลอลงต่อเนื่อง 4 ไตรมาส และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับลดลง ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มถูกกดดันมากขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวดังกล่าวยังไม่รุนแรงถึงระดับเสี่ยงต่อภาวะถดถอย เมื่อประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ใกล้เคียงเป้าหมายบริเวณ 2% วิจัยกรุงศรีคาดว่า ECB มีแนวโน้มชะลอการปรับลดดอกเบี้ยออกไปเพื่อรอประเมินความเสี่ยงเพิ่มเติมหลังจากปรับลดลง 8 ครั้งติดต่อกัน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567
หันมาฝั่งจีน เผชิญแรงกดดันจากภายนอกเพิ่มมากขึ้น การส่งออกในเดือนสิงหาคมขยายตัวต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ 4.4% YoY ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ หดตัวเร่งขึ้นจาก -21.7% ในเดือนกรกฎาคมเป็น -33.1% ในเดือนสิงหาคม ส่วนการส่งออกไปยังคู่ค้าสำคัญอื่นยังขยายตัวได้สูง เช่น อาเซียน (+22.5%) และสหภาพยุโรป (+10.4%) ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงต่ำกว่า 1% นานติดต่อกัน 30 เดือน อีกด้านหนึ่ง เม็กซิโกประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 50% สำหรับรถยนต์ 35% สำหรับเหล็ก ของเล่นและมอร์เตอร์ไซด์ และ 10-50% สำหรับสิ่งทอ
นอกจากผลเชิงลบของภาษีนำเข้าสหรัฐฯ แล้ว จีนเผชิญแรงกดดันมากขึ้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าของชาติพันธมิตรสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน การส่งออกไปยังคู่ค้าสำคัญอื่น อาจไม่เพียงพอที่จะชดเชยอุปสงค์จากสหรัฐฯ ที่ลดลง อีกทั้งยังเสี่ยงเผชิญภาษีสวมสิทธิ์จากสหรัฐฯ เพิ่มเติม ดังนั้น จีนจำเป็นต้องหันมาพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น เพื่อพยุงการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นการบริโภคอาจให้ผลบวกที่จำกัดเฉพาะในระยะสั้น ขณะที่มาตรการแก้ปัญหาการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและอุปทานส่วนเกิน ต้องอาศัยเวลาพอสมควรกว่าจะเห็นผลชัดเจน
ในส่วนของเศรษฐกิจไทย สถานการณ์การเมืองที่ชัดเจนขึ้นและความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย คาดช่วยหนุนการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ
โดยความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนสิงหาคมร่วงต่ำสุดในรอบ 32 เดือน รัฐบาลชุดใหม่เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการคนละครึ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนสิงหาคมลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 ที่ 50.1 จาก 51.7 ในเดือนกรกฏาคม เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับ (i) ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ (สำรวจก่อนมีการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง) (ii) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า และ (iii) ผลกระทบของนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อภาคส่งออกและการจ้างงานในประเทศ
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับลดลงต่อเนื่องจนแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี เป็นสัญญาณสะท้อนถึงแรงกดดันต่อการใช้จ่ายภาคครัวเรือน สอดคล้องกับตัวเลขดัชนีการบริโภคภาคเอกชน (PCI) ซึ่งธปท. รายงานว่าในเดือนกรกฎาคมหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ที่ -0.2% MoM ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง ภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้า และการลดลงของรายได้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด รัฐบาลชุดใหม่เตรียมนำมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น โครงการ “คนละครึ่ง” กลับมาใช้อีกครั้ง โดยอาจใช้งบประมาณวงเงินราว 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเดิมเตรียมไว้ใช้ทำโครงการ Digital Wallet ช่วยพยุงการบริโภคภายในประเทศในระยะสั้น รวมทั้งช่วยบรรเทาความกังวลของผู้บริโภค ผู้ประกอบการ SME และธุรกิจรายย่อยที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก โดยภาพรวมน่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยยังพอมีแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นจังหวะที่แรงกดดันจากภาคต่างประเทศส่งผลต่อการส่งออกชัดเจนขึ้น
โดยนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ได้ระบุถึงนโยบายสำคัญ 4 ด้าน ที่จะเร่งดำเนินการในช่วงบริหารประเทศ ได้แก่ (i) ด้านเศรษฐกิจ: ลดค่าครองชีพด้านพลังงานและการเดินทาง แก้ปัญหาหนี้เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย พร้อมสร้างรายได้ให้ชุมชนฐานราก (ii) ด้านความมั่นคง แก้ปัญหาความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชาด้วยสันติวิธี ยึดหลักไม่เสียดินแดน ไม่เสียประโยชน์ และชดเชยผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึง (ii) ด้านภัยธรรมชาติ: จัดทำระบบเตือนภัย ป้องกัน เยียวยา และชดเชยความเสียหายแก่ผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม และ (iv) ด้านภัยสังคม: ปราบปรามยาเสพติด ค้ามนุษย์ การพนัน และสแกมเมอร์ โดยสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน
บรรยากาศทางการเมืองที่ชัดเจนขึ้น และการแถลงทิศทางนโยบายด้านต่างๆ ข้างต้น คาดว่าจะช่วยหนุนให้การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายสำคัญคือ การคำนึงถึงประสิทธิผลของนโยบายและการทำให้นโยบายเหล่านี้เกิดผลจริงในระยะเวลาอันสั้น ภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ และสถานะของรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่อาจกระทบต่อการผลักดันบางนโยบาย ดังนั้น การจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินนโยบาย รวมทั้งการทำในสิ่งที่เร่งด่วนและเห็นผลได้เร็ว ควบคู่กับการวางรากฐานในระยะข้างหน้า น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยประคองให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางแรงกดดันที่มากขึ้นจากสถานการณ์เศรษฐกิจต่างประเทศ
โบรกฯ ส่อง GUNKUL โตแกร่ง เคาะเป้าซื้อ 2.50 บ./หุ้น
SPREME เซ็นงาน 2 โครงการใหญ่ ดัน Backlog แตะ 2.2 พันล. - MMM เดินสายโชว์ศักยภาพธุรกิจ ก่อนขาย PO ย้ายเทรด mai
SPREME สุดปัง! เซ็นสัญญาใหญ่ มูลค่า 833 ลบ.
BBL ปล่อยสินเชื่อ 'SC Asset' ขยายพอร์ตธุรกิจโรงแรม - FPI เสริมแกร่งสู่ยุคดิจิทัล ร่วมโครงการ “JUMP+”
RT คว้างานก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียมูลค่า 820 ลบ.
PTECH พร้อมกลับมาเทรด 9 ต.ค. นี้