Phones
หน้าแรก
Stock
เศรษฐกิจมหภาค
แบงก์ - Finance
อสังหาริมทรัพย์ - Marketing
ประกัน - ท่องเที่ยว
Variety
สกู้ป พิเศษ
SET
CIVIL แจงเหตุงดลงนามสัญญารถไฟความเร็วสูง
MAI
FVC ปักธงรายโต 25% กางแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง
IPO
TURBO เตรียมขาย IPO ไม่เกิน 537 ล้านหุ้น
บล./บลจ
บล. หยวนต้า จับมือ Finnomena เปิดตัว “Definit Select”
เศรษฐกิจ-การเงิน-การคลัง
กรุงศรี ประเมินเงินบาทซื้อขายในกรอบ 32.00-32.65 จับตาข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯ
การค้า - พาณิชย์
DFT เยือนถิ่นอีสาน... จัดงาน “TRC 2025 สัญจร” ครั้งที่ 6
พลังงาน - อุตสาหกรรม
PQS จับมือญี่ปุ่น พัฒนาโครงการ ‘แป้งมันสำปะหลังคาร์บอนต่ำ'
คมนาคม - โลจิสติกส์
ITEL ตอกย้ำพันธกิจ ESG คว้าใบรับรอง I-REC จากอินโนพาวเวอร์
แบงก์ - นอนแบงก์
KBANK เปิดบริการเชื่อมต่อระบบรับชำระเงินขนส่งสาธารณะ
ไฟแนนซ์ - ลิสซิ่ง
กรุงศรี ออโต้ ปักธง “GO Auto Station” หนุนสินเชื่อครึ่งปีหลังเร่งตัว
SMEs - Startup
KGP ผนึกกำลังพันธมิตร เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘FareOK’
ประกันภัย - ประกันชีวิต
คปภ. ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครอง พ.ร.บ. สูงสุด 20 ล้านบาท
รถยนต์
“กรุงศรี ออโต้” เปิดเทคนิคตรวจเช็กรถมือสอง เช็กจุดสำคัญก่อนตัดสินใจ
ท่องเที่ยว
พรูเด็นเชียลฯ ร่วมสนับสนุน ซีนิคฮาล์ฟมาราธอนระยอง
อสังหาริมทรัพย์
ทีมผู้บริหาร BAM ยกทัพลงพื้นที่เยี่ยมชม สนง.หาดใหญ่
การตลาด
Smarthome ฉลองครบรอบ 12 ปี ปั๊มยอดขายสู่ 2พันล.
CSR
KGP ผนึกกำลังพันธมิตร เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘FareOK’
Information
ตลท. ชวนร่วมสนุกตอบคำถาม “Happy Money App ตอบปั๊บ รับเลย”
Gossip
EURO โชว์ผลงาน Q2/68 กวาดกำไร 35 ลบ.
Entertainment
ตลท. จัดโครงการ ESG DNA ปีที่ 2
สกุ๊ป พิเศษ
"รุ่ง-วิทัย" ใครจะเข้าวิน ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ
KBANK แนะกลยุทธ์ลงทุนรับมือสงครามแย้งรัสเซีย-ยูเครน
2022-03-21 18:12:55
247
sharer
นิวส์ คอนเน็คท์ - KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier เปิด 4 ความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกยังปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง แนะนำให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมเผยกลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุนที่เหมาะสมเพื่อรับมือวิกฤตครั้งนี้
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2565 นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group – Executive Chairman ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า นอกเหนือจากปัจจัยด้านเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแรงจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมา ยังมีอีกเหตุการณ์ที่ซ้ำเติมและสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนเพิ่มขึ้นอีก นั่นก็คือความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน อย่างไรก็ตาม หากย้อนไปมองเหตุการณ์ความขัดแย้งไปจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉลี่ยส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงในวันที่เกิดเหตุการณ์เฉลี่ยเพียง 1.5% เท่านั้น และปรับลงสูงสุดเฉลี่ยที่ 5.4% โดยระยะเวลาเฉลี่ยในการลงสู่จุดต่ำสุด คือ 15 วัน และ ใช้เวลา 35 วันเพื่อฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับเดิม อ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนปรับเปลี่ยนรายวัน ด้านรัสเซียเริ่มเสียหายมากขึ้น จากการที่นานาชาติพากันคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ผลที่ตามมาคือราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อราคาพลังงานหากสงครามยืดเยื้อ เพราะยุโรปอาจเลิกคบค้าและซื้อขายพลังงานกับรัสเซียไปเลย ทำให้ภาวะเงินเฟ้อจะอยู่ยาว ในขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อตลาดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงมากกว่าที่คาดการณ์ จนนักลงทุนส่วนใหญ่เกิดคำถามว่าควรปรับพอร์ตหรือไม่ และปรับพอร์ตอย่างไรให้เหมาะสมกับวิกฤตในครั้งนี้
“วิกฤตที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ตกลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง KBank Private Banking ยังคงคำแนะนำให้นักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนที่เป็นพอร์ตระยะยาวและมีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมให้ถือพอร์ตต่อไป และธนาคารจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับพอร์ตและกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมในทุกสถานการณ์เพื่อสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจให้กับพอร์ตการลงทุนของลูกค้าได้ในปี 65 นี้” นายจิรวัฒน์ กล่าว
ด้านดร.แซมมี่ ชาร์ หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ Lombard Odier มองเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน แบ่งเป็น 4 ความเป็นไปได้ ดังนี้ 1. กรณีฐาน - ความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียลากยาว การเจรจาไม่สำเร็จ (โอกาสเกิด 50%) ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงทั่วโลก จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น และห่วงโซ่อุปทานที่ชะงักไปจากมาตรการคว่ำบาตร การเติบโตเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง โดยเฉพาะในยุโรป โดย Lombard Odier ประมาณการณ์ว่า GDP ยุโรปจะปรับลด -1% ส่วนสหรัฐฯ -0.5% ในขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกเดินหน้าเข้มงวดนโยบายการเงิน
2.กรณีดี - รัสเซียและยูเครน สามารถเจรจากันได้ บรรลุข้อตกลง แต่ยังคงมีมาตรการคว่ำบาตรบางส่วน (โอกาสเกิด 20%) ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวได้ดี ในขณะที่ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะยังคงทรงตัวในระดับสูง แต่อยู่ในระดับจัดการได้ เงินเฟ้อค่อยๆ ปรับลดลง
3.กรณีเลวร้าย - ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนรุนแรงขึ้น มีการคว่ำบาตรที่รุนแรงขึ้น (โอกาสเกิด 20%) ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ แต่ Lombard Odier มองว่าไม่ถึงขั้นทำให้เศรษฐกิจถดถอย (Recession) เพราะปัจจุบันกิจกรรมเศรษฐกิจโลก ไม่ได้พึ่งพาน้ำมันมากเท่าในอดีต และก่อนหน้านี้เศรษฐกิจโลกถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมากหลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 เริ่มคลี่คลาย นอกจากนี้ รัฐบาลแต่ละประเทศจะออกมาตรการมาพยุงเศรษฐกิจ เช่น ช่วยเหลือค่าครองชีพกลุ่มคนรายได้น้อย เพื่อให้เศรษฐกิจไปต่อได้
4.กรณีเลวร้ายที่สุด - ความขัดแย้งขยายไปทั่วโลก (โอกาสเกิด 10%) ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอย และมีโอกาสเกิดวิกฤตทางการเงิน ธนาคารกลางทั่วโลกจะชะลอการออกนโยบายเข้มงวด เน้นดำเนินนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน
นางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director-Financial Advisory Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนจะมากหรือน้อยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความรุนแรงของมาตรการคว่ำบาตร เช่น หากวิกฤตกระทบเศรษฐกิจมากและประเทศขนาดใหญ่ไม่มีมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจหรือชะลอความเข้มงวดด้านนโยบาย อาจส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ที่แม้จะฟื้นตัวได้เร็วเมื่อวิกฤตคลี่คลาย แต่ก็จะยังไม่สามารถสร้างผลตอบแทนกลับคืนมาในช่วงเวลาสั้นๆ อย่างไรก็ตาม KBank Private Banking มองว่ามีโอกาสถึง 50% ที่ความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียลากยาว และการเจรจาไม่สำเร็จ ดังนั้นในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ที่ราคาสินทรัพย์ในตลาดย่อตัวลงถือเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนให้แก่ลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงใน 2 กรณี ได้แก่
กรณีที่ยังมีกระแสเงินสดสำหรับเข้าลงทุนเพิ่ม และสามารถถือการลงทุนได้นานกว่า 3 ปีขึ้นไป หรือ มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น กองทุนที่ซื้อขายได้ทุกวันทำการเป็นสัดส่วนการลงทุนหลัก สิ่งแรกที่นักลงทุนต้องพิจารณาก็คือความเสี่ยงที่รับได้ หรือ Risk Profile ของตนเอง เช่น รับความเสี่ยงได้ต่ำถึงปานกลาง แนะนำให้ลงทุนเพิ่มในกองทุนผสมที่กระจายการลงทุนในหลายๆ สินทรัพย์ เช่น กองทุน K-GA, K-GINCOME, K-ALLROAD, K-ALLGROWTH และ K-ALLENHANCE
แต่หากรับความเสี่ยงได้สูง แนะนำให้ลงทุนในกองทุนหุ้น อย่าง K-HIT และ K-CHANGE ภายใต้ธีม Winner of New Economy เนื่องจากพื้นฐานยังคงแข็งแกร่งในระยะยาว กระจายลงทุนในหลายๆ กลุ่มธุรกิจในทุกภูมิภาคทั่วโลก และถูกเทขายหนักจากความกังวลในตลาด ซึ่งหากสถานการณ์ความขัดแย้งคลี่คลายจะมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วและแรงกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ และ กองทุน K-CLIMATE ภายใต้ธีม Policy Driven for better world ซึ่งถือเป็นธีมการลงทุนที่สอดคล้องไปกับกระแสหลักของโลก (Mega Trend) ที่ราคาปรับลงไม่มากเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ นอกจากนี้ยังแนะนำให้ลงทุนใน REITs หรือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่สร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอ และจากภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นยังสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นอีกด้วย
ส่วนกรณีที่ถือการลงทุนเต็มแล้ว (Fully invested) สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกคือให้พิจารณาว่าพอร์ตการลงทุนเป็นพอร์ตลงทุนระยะยาวที่กระจายความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสมอยู่แล้วหรือไม่ หากคำตอบคือใช่ แนะนำให้ถือพอร์ตต่อไปเพราะมีโอกาสที่สถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุน อยากเพิ่มเงินสดให้พอร์ต แนะนำให้ขายหุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เพราะมีโอกาสฟื้นตัวช้ากว่าตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว หรือขายหุ้นไทย ที่ได้ประโยชน์จากวิกฤตครั้งนี้ เพราะมีสัดส่วนของกลุ่มพลังงานสูง นอกจากนี้ แนะนำให้สลับกองทุน (Switching) เช่น ขายกองทุนที่ราคาลงไม่มากไปซื้อกองทุนที่ราคาลงมากกว่า โดยเน้นกลุ่มที่ยังมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีโอกาสฟื้นตัวได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม การสลับกองทุนจะมีค่าธรรมเนียม และต้องประเมินกลยุทธ์ลงทุนประอบด้วย
CIVIL แจงเหตุงดลงนามสัญญารถไฟความเร็วสูง
TSE โชว์รายได้ Q2/68 ที่ 686 ล้าน
WSOL ปรับทัพครั้งใหญ่ เดินหน้ารุกธุรกิจทางการเงิน
STECH ตุน Backlog กว่า 700 ลบ. หนุนรายได้โต 5%
ตลท. กางงบ 6 เดือน บจ.กำไร 5.9 แสนล. - BBL โบรกฯ คาดปันผลปีนี้ 8.50 บ.
ตลท. กางงบ บจ.งวด 6 เดือน กำไรสุทธิ 5.89 แสนล้าน