Phones





RATCH เพิ่มพอร์ตโรงไฟฟ้าSPP รับโมเดลผลิตไฟฟ้าใช้เอง

2022-05-05 17:02:33 1419



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - RATCH ดันพอร์ตโรงไฟฟ้า SPP หวังสร้างรายได้เพิ่ม พร้อมรับโมเดลผลิตไฟฟ้าใช้เอง ล่าสุดลงทุนเพิ่มกำลังผลิตโรงผลิตไฟฟ้านวนครอีก 30 MW มั่นใจรายได้จากพอร์ตโรงไฟฟ้า SPP ในปี 65 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 2,938 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7% ของรายได้รวม
 
เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงทุนเพิ่มในโรงผลิตไฟฟ้านวนคร ซึ่งเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มอีก 30 เมกะวัตต์(MW) และไอน้ำ 5 ตันต่อชั่วโมง เพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสำหรับการผลิตเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ประมาณการเงินลงทุน 1,724 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากเงินกู้และเงินทุนของผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 70:30 โดยจะเป็นเงินทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทประมาณ 200 ล้านบาท
 
โดยโครงการส่วนขยายนี้จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนธ.ค.65 และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องเชิงพาณิชย์(COD) ประมาณเดือนมิ.ย.67 ส่งผลให้โรงผลิตไฟฟ้านวนครมีกำลังการผลิตรวม 215 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตไอน้ำ รวม 45 ตันต่อชั่วโมง
 
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับการลงทุนในประเทศไทยนอกจากโครงการพลังงานทดแทนแล้ว บริษัทมุ่งเป้าหมายที่โครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ประเภทโคเจนเนอเรชั่น ซึ่งนอกจากสร้างรายได้และมูลค่ากิจการเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการเตรียมพร้อมรองรับโอกาสการเติบโตในอนาคต ซึ่งภาคการผลิตไฟฟ้ามีแนวโน้มจะเปลี่ยนผ่านไปสู่โมเดลการผลิตเพื่อใช้เอง (IPS) และผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อไฟฟ้าได้ด้วยตนเอง โดยปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตการลงทุนโรงไฟฟ้าประเภท SPP รวม 7 โครงการ หากรวมการลงทุนครั้งนี้แล้วจะส่งผลให้บริษัทรับรู้กำลังการผลิตติดตั้งตามการถือหุ้น รวม 536.97 เมกะวัตต์ โดย 481.3 เมกะวัตต์ได้เดินเครื่องจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว
 
สำหรับโรงไฟฟ้าดังกล่าว ดำเนินงานโดย บริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท กับบมจ.นวนคร หรือ NNCL และบมจ. โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ หรือ GPSC ถือหุ้นสัดส่วน 40%, 30% และ 30 ตามลำดับ ปัจจุบันมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 185 เมกะวัตต์ และไอน้ำรวม 40 ตันต่อชั่วโมง ซึ่งกำลังการผลิตไฟฟ้า 90 เมกะวัตต์ จำหน่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ส่วนที่เหลือจำหน่ายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมในเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี เมื่อกำลังการผลิตส่วนขยายครั้งนี้แล้วเสร็จจะมีกำลังการผลิตที่จะจำหน่ายให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็น 125 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 45 ตันต่อชั่วโมง
 
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมทุนกับกลุ่มนวนคร พัฒนาโครงการ IPS กำลังการผลิต 31.2 เมกะวัตต์ ในเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมาด้วย สำหรับ โรงผลิตไฟฟ้านวนคร ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงและมีความมุ่งมั่นผลิตไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีระบบการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14001 อีกทั้งยังได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 3: ระบบสีเขียว (Green System) กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมด้วย นอกจากนี้ยังมีความพยายามที่จะลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของหน่วยผลิตไฟฟ้า ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์การลดก๊าซเรือนกระจกของบริษัท
 
ทั้งนี้ ในปี 64 บริษัทรับรู้รายได้จากพอร์ตการลงทุนโรงไฟฟ้า SPP เป็นจำนวน 2,938 ล้านบาท คิดเป็น 7% ของรายได้รวม โดยเป็นรายได้จากโรงไฟฟ้าราชโคเจนเนอเรชั่น โรงผลิตไฟฟ้านวนคร โรงไฟฟ้าราชบุรีเวอล์ดโคเจนเนอเรชั่น โรงไฟฟ้าเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น และโรงไฟฟ้าสหโคเจนชลบุรี ขณะที่บริษัทประมาณการว่า รายได้จากพอร์ตโรงไฟฟ้า SPP ในปี 65 จะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากจะมีการรับรู้รายได้จาก 3 โครงการในปีนี้ ได้แก่ โรงไฟฟ้าสหโคเจน โรงไฟฟ้าเน็กส์ซิฟ ราช เอ็นเนอร์จี ระยอง และส่วนขยายของโรงไฟฟ้าราชโคเจนเนอเรชั่น
 
สำหรับโรงไฟฟ้าเน็กส์ซิฟ ราช เอ็นเนอร์จี ระยอง ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง กำลังผลิตติดตั้ง 98 เมกะวัตต์ เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 เม.ย.65 โดยจำหน่ายไฟฟ้า 90 เมกะวัตต์ ให้กับ กฟผ. ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะเวลา 25 ปี โรงไฟฟ้าดังกล่าวได้ดำเนินการควบคุมคุณภาพการก่อสร้างภายใต้มาตรฐานสากล รวมทั้งยังได้เลือกใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงทั้งด้านการผลิตและการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานของธนาคารโลกในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม