Phones





SCBS ชี้เป้าดัชนีสิ้นปี 1,650 จุด หวังQ3ตลาดหุ้นผ่านจุดต่ำสุด

2022-06-22 20:03:26 120



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - SCBS ประเมินเป้าหมายดัชนี SET Index สิ้นปี 65 ไว้ที่ระดับ 1,650 จุด โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ระดับ 1,550-1,750 จุด ซึ่งมองว่าตลาดหุ้นไทยจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 3/65 พร้อมแนะนำลงทุนในหุ้นที่ยังมีอัพไซด์ ได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มอาหาร
 
เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2565 นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 65 แม้จะยังได้รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นสหรัฐ และจีน แต่มองว่าตลาดหุ้นไทยยังคงมีความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ เนื่องจากแนวโน้มกำไรของบริษัททะเบียนในภาพรวมยังมีการเติบโตต่อเนื่อง รวมทั้งปัจจัยพื้นฐานของ SET ในปี 65-66 ยังคงมีแนวโน้มค่อนข้างดี ซึ่งคาดว่า EPS จะเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ต่อปี ซึ่งกลุ่มที่ได้มีการฟื้นตัวไปที่ระดับก่อนเกิดโควิด ได้แก่ กลุ่มธนาคาร, กลุ่มพลังงาน, กลุ่มปิโตรเคมี, กลุ่มพาณิชย์ และกลุ่มท่องเที่ยว เป็นต้น
 
ขณะที่ SCBS ได้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ในระดับคงเดิมที่ 1,550-1,750 จุด และประเมินเป้าหมายดัชนีในปี 65 อยู่ที่ 1,650 จุด โดยมองว่า SET Index จะไม่ปรับตัวลดลงแรงเหมือนช่วงโควิด เนื่องจากผลกระทบต่อกำไรไม่แรงเท่าช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะผ่านจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 3/65 เนื่องจากผ่านช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นอัตราดอกเบี้ย สถานการณ์เงินเฟ้อน่าจะเริ่มทรงตัว ส่วนประเทศจีนเริ่มควบคุมสถานการณ์โควิดในประเทศได้ และมีโอกาสจะกลับมาเปิดประเทศในช่วงไตรมาส 3/65
 
ทั้งนี้ SCBS ใช้วิธีการประเมินมูลค่าหุ้นตามพื้นฐานและการเติบโตของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม (Bottom-up approach) โดยกลุ่มที่มองว่ามี Upside เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่ กลุ่มธนาคาร, กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มอาหาร ในส่วนกลุ่มที่มี Downside ได้แก่ กลุ่มขนส่ง, การแพทย์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, อสังหาริมทรัพย์ และท่องเที่ยว ซึ่ง SCBS ใช้ Bear case valuation เป็นจุดเข้าซื้อที่สำคัญ โดยให้ Margin of safety ที่ 5% จากระดับปัจจุบันหรือต่ำกว่า 1,600 จุด
 
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนทั้ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET ) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (MAI ) ในไตรมาส 1/65 มีกำไรสุทธิรวม 2.84 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน ซึ่งกลุ่มที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ 28%, กลุ่มธนาคาร 14%, กลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมี 15%, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 14%, กลุ่มการแพทย์ 331% และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 46% ส่วนกลุ่มที่กำไรสุทธิลดลง ได้แก่ กลุ่มเกษตร ลดลง 54%, กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ลดลง 4%, กลุ่มประกัน ลดลง 78% และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ ลดลง 4%
 
“ผลประกอบการไตรมาส 1 ออกมาดี แต่ไตรมาส 2 ถ้าเทียบกับไตรมาส 1 อาจชะลอลงมาบ้าง แต่ไม่มาก เพราะมีกลุ่มพลังงานที่ได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่เฉลี่ยอยู่ 100 เหรียญต่อบาร์เรล และ กลุ่มเปิดประเทศ ก็เริ่มฟื้นตัว ซึ่งเทียบกับไตรมาส 2 ปีก่อนยังมีการเติบโตอยู่ ส่วนการปรับเป้าดัชนีในปีนี้อาจจะปรับลงได้อีกมากกว่าปรับขึ้น เพราะยังมีความผันผวนจากปัจจัยอื่นๆ” นายสุกิจ กล่าว