Phones





KKP โชว์แผนครึ่งปีหลัง คงเป้าพอร์ตสินเชื่อโต 16%

2022-08-03 18:55:32 222



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - KKP เปิดแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง เน้นต่อยอดการประสานธุรกิจธนาคารพาณิชย์และตลาดทุน เพื่อพัฒนาบริการที่ครบถ้วน รวมถึงเป็นการกระจายแหล่งรายได้รองรับสถานการณ์เศรษฐกิจที่อาจมีความผันผวนในอนาคต ด้านภาพรวมสินเชื่อทั้งปี 65 ยังตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 16%
 
นิวส์ คอนเน็คท์ - นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในระยะต่อไปของ KKP ยังคงต่อยอดการประสานธุรกิจธนาคารพาณิชย์และตลาดทุน เพื่อพัฒนาบริการที่ครบถ้วนและไร้รอยต่อสำหรับลูกค้า ตลอดจนกระจายแหล่งรายได้รองรับสถานการณ์เศรษฐกิจที่อาจทวีความผันผวนในอนาคต
 
โดย KKP จะมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากพัฒนาการทางเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ ที่ลดข้อจำกัดด้านขนาดหรือเครือข่ายและทำให้ธนาคารแข่งขันได้อย่างเท่าเทียม อาทิ ธุรกิจ KKP Edge ที่นำเสนอบริการ Wealth Management ในแบบที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในวงกว้างมากยิ่งขึ้น หรือธุรกิจ Dime ที่กำลังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการในรูปแบบ Digital ในเร็วๆ นี้ รวมทั้งไม่ละเลยการลงทุนในด้านระบบสำหรับธุรกิจหลักอย่างสินเชื่อ ซึ่งมองว่ายังมีศักยภาพสำหรับการเติบโตและเป็นองค์ประกอบสำคัญในธุรกิจ โดยในปี 65 นี้ มีเป้าการเติบโตของสินเชื่อรวมไว้ที่ 16%
 
อย่างไรก็ตาม มองว่าสถานการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในภาพรวมยังน่ากังวลจากภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย รวมถึงภาวะปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง จึงเตรียมพร้อมสำหรับช่วยเหลือลูกค้าที่อาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจซบเซาต่อเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด โดยมุ่งให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างยั่งยืน มากกว่ามาตรการเฉพาะหน้า เพื่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อลูกค้าในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่อง
 
สำหรับผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจ KKP ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 65 อยู่ในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจสินเชื่อธนาคารพาณิชย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยสินเชื่อรวมขยายตัวถึง 10% ด้านธุรกิจตลาดทุน รายได้กระจายตัวตามลักษณะธุรกิจ โดยธุรกิจนายหน้ายังคงครองส่วนแบ่งอันดับหนึ่งของตลาดที่ 18.18% และธุรกิจการลงทุนเติบโตดีจากฝ่ายค้าหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Equity and Derivative Trading) ที่ทำกำไรได้ดีในสภาวะผันผันผวน
 
ทางด้านวานิชธนกิจมีจำนวนธุรกรรมลดลงในช่วงต้นปี 65 แต่ยังคงมีธุรกรรมขนาดใหญ่หลายรายการในช่วงครึ่งหลังของปี ในขณะที่ธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) มีปริมาณทรัพย์สินภายใต้คำแนะนำ (Asset Under Advice, AUA) อยู่ที่กว่า 7 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ธนาคารได้ปรับลดการตั้งสำรองสอดรับกับคุณภาพที่ดีของพอร์ตสินเชื่อใหม่ และอัตราการชำระคืนของลูกหนี้ดีกว่าที่คาดการณ์ โดยตั้งสำรองเป็นจำนวน 1,878 ล้านบาท ลดลงกว่าปีก่อนหน้านี้ค่อนข้างมาก
 
นายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา นโยบายการเติบโตสินเชื่อแบบมีกลยุทธ์ (Smart Growth) นั้นให้ผลที่ดี โดยช่วยให้ธนาคารสามารถรักษาการเติบโตของรายได้และกำไรแม้ในสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว และในขณะเดียวกัน มาตรการคัดกรองและบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพยังรักษาคุณภาพของสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยสินเชื่อของธนาคารครึ่งปีแรก 65 มีรายได้ที่มาจากดอกเบี้ยถึง 69% โดยหลักมาจากกลุ่มสินเชื่อรายย่อยที่มีหลักประกัน ไม่ว่าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่โตขึ้นกว่า 11% หรือสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่โตขึ้น 19% 
 
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในระยะต่อไป ธนาคารยังคงต่อยอดจากธุรกิจที่มีความชำนาญ ไม่ว่าการปรับปรุงระบบและกระบวนการภายในเพื่อการพิจารณาสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเข้าถึงผู้บริโภคได้สะดวกง่ายดายยิ่งขึ้นผ่านแอป KKP Mobile การเดินหน้าผลิตภัณฑ์​ใหม่อย่างสินเชื่อ 'รถเรียกเงิน'​ รวมทั้งการขยายเครือข่ายการให้บริการผ่านการสร้างความร่วมมือกับคู่ค้าที่มีความแข็งแกร่ง นอกจากนั้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการบรรเทาปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน ธนาคารยังมุ่งเสริมสร้างความแข็งแรงทางการเงินให้กับลูกค้าผ่านการเชื่อมโยงบริการธนาคารเข้ากับบริการด้านการลงทุนที่เป็นความชำนาญของกลุ่มธุรกิจฯ มากขึ้นเรื่อยๆ
 
ด้านนายปรีชา เตชรุ่งชัยกุล ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 65 กลุ่มธุรกิจ KKP มีกำไรสุทธิเท่ากับ 4,089 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.1% โดยเป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุนจำนวน 672 ล้านบาท ในส่วนของการตั้งสำรองสำหรับครึ่งแรกของปี 65 ปรับลดลงตามคุณภาพของสินเชื่อที่ยังคงอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ดี โดยมีอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ 169.1%
 
นอกจากนี้ ธนาคารมีรายได้เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิรวมถึงรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 8,779 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 15.1% ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 3,809 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% จากครึ่งปีแรกปี 64 และธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio)คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงถึงสิ้นไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 16.56% และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 จะเท่ากับ 12.99%