Phones





ดีป้าชักชวนนักลงทุนญี่ปุ่นร่วมลงทุน ดิจิทัลสตาร์ทอัพ ขับเคลื่อนสมาร์ท ซิตี้

2022-11-07 17:47:59 210



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - ดีป้า สานต่อความร่วมมือ MIC ประเทศญี่ปุ่น ส่งเสริมการพัฒนาดิจิทัลสตาร์ทอัพไทย พร้อมชักชวนนักลงทุนญี่ปุ่นร่วมลงทุนในดิจิทัลสตาร์ทอัพ ขับเคลื่อนสมาร์ทซิตี้
 
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 นายณัฐพล นิมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ดีป้า และคณะ เข้าพบ Mr.Tawara Yasuo, Director-General Global Strategy Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications : MIC (กระทรวงกิจการภายในประเทศและการสื่อสารแห่งประเทศญี่ปุ่น) เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงาน ในการส่งเสริมการพัฒนาดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยในทุกระยะการเติบโต พร้อมแนะนำโครงการ Thailand Digital Valley รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่นักลงทุน โดยเฉพาะจากประเทศญี่ปุ่นจะได้รับ รวมถึงชักชวน MIC และนักลงทุนญี่ปุ่นร่วมลงทุนในดิจิทัลสตาร์ทอัพ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) รวมถึงความร่วมมือในการจัดกิจกรรมส่งเสริมอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ต ซึ่งดีป้าได้เตรียมแผนจัดเป็นอีเวนต์ใหญ่ในประเทศไทย
 
ขณะที่อีกบทบาทการดำเนินงาน คือ การพัฒนากำลังคนดิจิทัลที่มีทักษะเกี่ยวกับเทคโนโลยีขั้นสูง รองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม อาทิ เทคโนโลยี AI, Blockchain รวมถึงการพัฒนา Data Science และ Data Engineer ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากในภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ดีป้ายังมีแผนจัดตั้งสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่แห่งชาติ (National Big Data Institute: NBDi) เพื่อการขับเคลื่อนประเทศด้วยข้อมูล
 
ด้าน Mr.Tawara Yasuo กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างดีป้า และ MIC ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดโครงการ INNO-vation บ้า-กล้า-คิด ที่จัดต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ทั้งนี้ ทาง MIC มีความตั้งใจที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมเพื่อมุ่งเน้นการส่งเสริมสตาร์ทอัพโดยเฉพาะด้าน ICT มากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรม และมีการส่งเสริมบริษัทญี่ปุ่นมุ่งสู่ตลาดโลกเช่นกัน และหวังว่าจะได้ร่วมงานกันในอนาคต ทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และประสบการณ์ต่างๆ
 
ทั้งนี้ ระหว่างดีป้า และ MIC เคยร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อการเปลี่ยนแปลง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การรักษาและพัฒนาระบบนิเวศสำหรับนวัตกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลงระหว่างผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่าย ภายใต้กรอบความร่วมมือการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง เช่น มหาวิทยาลัย บริษัทเอกชน และชุมชน การร่วมดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อกระชับความร่วมมือระหว่างกัน และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ โดยมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงเมื่อวันที่ 5 ส.ค.65 ที่ผ่านมา
 
นอกจากนี้ ดีป้ายังได้ศึกษาดูงานนวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะที่ HarvestX Lab (Future Farming) ณ The University of Tokyo โดย HarvestX Lab เป็นสถานที่สำหรับวิจัยระบบหุ่นยนต์ปลูกสตรอว์เบอร์รีอัตโนมัติ ด้วยการนำข้อมูลต่างๆ รวมถึงเทคโนโลยี AI มาพยากรณ์การเพาะปลูก และใช้หุ่นยนต์ในการผสมเกษร จนถึงขั้นตอนการเก็บผลผลิต ซึ่งการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้สามารถเพิ่มปริมาณผลผลิตเป็น 83.7% มากกว่าการผสมเกษรโดยธรรมชาติ (ผึ้ง) ที่ได้ผลผลิตอยู่ที่ 16.6%
 
นายปรีสาร รักวาทิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวว่า ปัจจุบัน HarvestX Inc. เป็นสตาร์ทอัพวิจัยพัฒนาหุ่นยนต์ และซอฟต์แวร์โซลูชันด้านการเกษตรสำหรับ Indoor Farming เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 63 มีมูลค่าลงทุนปัจจุบันอยู่ที่ 100 ล้านเยน หรือ ประมาณ 25 ล้านบาท และมีแผนที่จะนำโซลูชันพร้อมด้วยฮาร์ดแวร์ ขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ภายในปี 66
 
ขณะเดียวกัน ดีป้ายังได้ร่วมแลกเปลี่ยนแผนการดำเนินงานด้านการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตในประเทศไทยกับ Sony Interactive Entertainment (SIE) บริษัทในเครือ SONY ผู้ดูแลรับผิดชอบแบรนด์ PlayStation รวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดการแก้ไขปัญหาและอุปสรรค์ด้านการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตที่เกิดขึ้น ตลอดจนการหารือแนวทางความร่วมมือในอนาคต
 
อีกทั้งยังเข้าพบ Mr.Zaif Siddiqi, Director Global Business Business Solution Division, NTT docomo เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือระหว่างกันในอนาคตด้านการพัฒนาแอปพลิเคชัน 5G และ 6G  โดย Mr.Zaif กล่าวว่า เทคโนโลยี 5G ถือเป็นเสาหลักสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี AI, IoT, XR และ Cloud ซึ่งนับเป็นส่วนสำคัญของ Digital Transformation โดยจะก่อให้เกิดการพัฒนา UI / UX การสร้างสรรค์นวัตกรรมบริการใหม่ๆ และการยกระดับผลผลิต ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม และแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมได้อย่างตรงจุด
 
ส่วนเทคโนโลยี 6G จะถูกพัฒนาและนำมาใช้ในหลากหลายมิติ ซึ่งจะเปลี่ยนคำว่า Smart ในสังคมยุค 5G ไปสู่ Well-being โดยประเมินว่า ในปี 73 เทคโนโลยี 5G และ 6G จะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย