Phones





CIS ปรับโฟกัสลงทุนหุ้นนอก ลุยหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่-AI

2023-06-19 17:46:25 172



 
นิวส์ คอนเน็คท์ – CIS แนะปรับโฟกัสลุยหุ้นพื้นฐาน ดักทางฟันด์โฟลว์จ่อไหลออก หลังตลาดจับตากรณี Dot Plot เฟด ส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกสองครั้งในปีนี้ ดันดอกเบี้ยแตะ 5.5-5.75% คัดหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI น่าลงทุน มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องและมีสตอรี่หนุนหลัง
 
เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2566 นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ภายหลังการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ครั้งล่าสุด มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5-5.25% ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในปี 2565 จะส่งผลบวกต่อตลาดในภาพรวม แต่สิ่งที่ต้องจับตามองคือกรณีผล Dot Plot หรือ แนวทางการใช้นโยบายการเงินในช่วงที่เหลือของปีนี้ ที่คณะกรรมการเฟดตั้งใจจะทำให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับ 5.5-5.75% หมายความว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกสองครั้ง ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดอย่างยิ่ง เพราะไม่คิดว่าเฟดจะกลับมาปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพ.ค. ออกมาที่ระดับ 4.0% ต่ำกว่าที่คาดไว้
 
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นเพียงคาดการณ์ตัวเลขดอกเบี้ยจากคณะกรรมการเฟด ซึ่งต้องดูทิศทางเงินเฟ้อหลังจากนี้ประกอบการตัดสินใจ จึงยังเป็นไปได้ว่าเฟดอาจจะไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยตาม Dot Plot หากเงินเฟ้อยังคงปรับตัวลง อย่างไรก็ตาม แนวทางการลงทุนหลังจากนี้อาจต้องโฟกัสไปที่พื้นฐานของหุ้นมากกว่าการเก็งแนวโน้มของฟันด์โฟลว์
 
สำหรับทิศทางการลงทุนหลังจากนี้สินทรัพย์ที่น่าสนใจยังคงเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ทั้ง 7 ตัว คือ Apple, Microsoft, Alphabet, Meta, Amazon, Nvidia และ Tesla ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของดัชนี NASDAQ และ S&P500 ในปีนี้ โดยหุ้นทั้ง 7 ตัวนี้ มีน้ำหนักกว่า 27% ในดัชนี S&P500 โดยที่น่าสนใจ คือ ตอนนี้ดัชนี S&P500 กลับเข้ามาสู่ตลาดกระทิงอีกครั้ง หรือ ฟื้นตัวสู่ขาขึ้น โดยสถิติระบุว่าดัชนี S&P500 เคยอยู่ในตลาดหมีนานที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ 484 วัน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 2491 ส่วนตลาดขาลงรอบนี้ใช้เวลา 164 วัน จากจุดต่ำสุดจนหลุดพ้นจากขาลง ซึ่งใช้เวลานานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2501 ที่ใช้เวลา 191 วัน นอกจากนี้ดัชนี S&P500 ยังร่วงลง 25.43% จากจุดสูงสุดลงมาแตะจุดต่ำสุด แต่ตอนนี้ดัชนีฟื้นตัวขึ้นมาจนเกือบแตะจุดสูงสุดที่เคยทำไว้ที่ 4796.56 จุด เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 2565 โดยเหลืออีกเพียงแค่ไม่ถึง 10% จึงยังมองว่ายังพอมีอัพไซด์ที่จะลงทุนได้”
 
สาเหตุที่หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้นได้ตั้งแต่ต้นปีนี้มาจากการเข้าสู่จุดเปลี่ยนทางธุรกิจครั้งสำคัญไม่ว่าจะเป็นกระแสของปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ ที่ผลักดันราคาหุ้น Microsoft และ Alphabet รวมไปถึง Nvidia ซึ่งเป็นผู้ผลิต GPU ที่เป็นฮาร์ดแวร์สำคัญของการขับเคลื่อนเอไอ ขณะที่ Apple นอกจากยอดขายไอโฟนที่ยังเติบโตต่อเนื่องแล้ว ยังได้แรงหนุนจากการเปิดตัวแว่น Vision Pro ซึ่งถูกมองว่าจะเข้ามาปฎิวัติวงการเทคโนโลยีเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับฮาร์ดแวร์อื่น ๆ มาแล้ว ส่วน Meta และ Tesla ก็อยู่ในช่วงของการเทิร์นอะราวนด์หลังจากปีที่แล้วงบการเงินออกมาค่อนข้างแย่
 
“นักลงทุนที่ยังไม่ได้ลงทุนเลยอาจจะต้องใช้ความระวัง ถ้ามีเม็ดเงินไหลออกไปลงทุนในกลุ่มอื่น อาจจะมีแรงเทขายหุ้นกลุ่มนี้ออกมา เพราะราคาหุ้นขึ้นมาพอสมควร กลยุทธ์จึงเน้นรอโอกาสราคาย่อตัวลงมาและเข้าทยอยสะสม โดยมองว่าหุ้นกลุ่มนี้มีแนวโน้มเติบโตยังมีต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้” นายณพวีร์ กล่าว
 
ส่วนอีกสินทรัพย์ที่น่าสนใจ คือ หุ้นขนาดกลางอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับเอไอ เนื่องจากตลาดตอนนี้คาดหวังว่าผลประกอบการจากธุรกิจดังกล่าวจะสร้างการเติบโตให้กับรายได้และกำไรของบริษัทฯ หลังจากนี้ ซึ่งนอกจากหุ้นขนาดใหญ่อย่าง Microsoft และ Alphabet รวมถึง Nvidia แล้ว ยังมีหุ้นที่เกี่ยวข้องอีกหลายตัวไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ผลิตชิปเซตที่จะหันมาสร้างชิปเซตที่เกี่ยวข้องกับเอไอ หุ้นกลุ่มซอฟต์แวร์ที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการให้บริการข้อมูลที่ใช้กับเอไอ ตลอดจนหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ที่จะนำเอไอเข้ามาให้บริการกับลูกค้า
 
“แม้จะเริ่มมีกระแสว่าจะเกิดฟองสบู่ของหุ้นที่เกี่ยวกับเอไอเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ถ้าดูจากราคาหุ้นและค่า P/E ของหุ้นที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่ถือว่าสูงจนน่าตกใจ รวมถึงการนำเอไอเข้ามาใช้งานสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ได้ทันทีและค่อนข้างมั่นคง เนื่องจากมี Use Case ในการใช้งานที่รองรับอยู่แล้ว จึงมองว่ายังสามารถมองหาหุ้นขนาดกลางที่เกี่ยวข้องกับเอไอ เพื่อลงทุนได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากราคาหุ้นถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยพื้นฐานมากกว่าฟันด์โฟลว์” นายณพวีร์ กล่าว
 
สำหรับสินทรัพย์อื่นอย่าง “ทองคำ” แม้อาจจะถูกกดดันจากแผนการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด แต่แนวโน้มระยะยาวในที่สุดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะขาลงอยู่ดี โดยเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 4/2566 จึงยังมองว่าสามารถทยอยสะสมได้ โดยระยะสั้นมองแนวรับที่ระดับเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันแถว อยู่ที่ 1900 ดอลลาร์ ยังสามารถใช้เป็นจุดเข้าซื้อได้ และยังคงเป็นไปได้ที่จะกลับไปแตะระดับ 2000 ดอลลาร์ในปีนี้