Phones





PTG อัพเป้าโต เดินหน้ารุก Non-Oil

2023-09-22 20:28:10 213



PTG อัพเป้าโต เดินหน้ารุก Non-Oil (สกู๊ปพิเศษ)

หลังโควิด-19 ผ่อนคลายในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ ประกอบกับประเทศไทยได้รัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าในทุกๆ ด้าน และหนึ่งในนั้นที่ได้รับอานิสงส์คือ ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน อย่างธุรกิจของ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG

โดยแม่ทัพใหญ่ "พิทักษ์ รัชกิจประการ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTG เผยว่า ไตรมาส 2/66 บริษัทมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมัน ทำสถิติสูงสุดใหม่ (ALL TIME HIGH) 3 ไตรมาสติดต่อกัน ด้วยยอดขาย 1,534 ล้านลิตร เติบโต 12.2% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ขณะที่การจำหน่ายก๊าซ LPG อยู่ที่ 154 ล้านลิตร เติบโต 28.0% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้รายได้ในไตรมาส 2/66 มากถึง 50,802 ล้านบาท เติบโต 9.7% ขณะที่ครึ่งปีแรก มีรายได้รวม 101,738 ล้านบาท เติบโตถึง 19.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
สำหรับภาพรวมส่วนแบ่งการตลาดในส่วนของสถานีบริการน้ำมัน ในไตรมาส 2/66 PTG มีส่วนแบ่งการตลาด 19.5% หรือ 7,285 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 19.2% และคาดว่าในไตรมาส 4 น่าจะมีโอกาสขยับเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 20% ปัจจุบัน PTG มีสถานีบริการน้ำมัน 2,166 สาขา แบ่งเป็น สถานีบริการฯ ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ (COCO) จำนวน 1,819 สถานี และสถานีบริการฯ ที่เป็นของผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิ์จากบริษัทฯ (DODO) จำนวน 347 สถานี 
รุกตลาดด้าน Non-Oil
ด้าน นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTG กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่้บริษัทรุกตลาดด้าน Non-Oil มีการขยายสาขาเป็นจำนวนมาก ทำให้ไตรมาส 2/66 มีสาขา 1,805 สาขา ประกอบด้วย กาแฟพันธุ์ไทย 703 สาขา ธุรกิจก๊าซ LPG 527 สาขา แบ่งเป็นสถานีบริการ 234 สาขา ร้านจำหน่ายก๊าซ LPG บรรจุถัง 293 สาขา ร้านสะดวกซื้อ Max Mart 325 สาขา ร้านกาแฟ Coffee World 24 สาขา ศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs 53 สาขา จุดเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง Maxnitron 55 สาขา Max Camp 72 จุด และจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Elex by EGAT Max 46 สาขา 
ส่งผลให้รายได้จากการขายในส่วนธุรกิจ Non-Oil เติบโตต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2/66 มีรายได้ 3,337 ล้านบาท เติบโต 53.6% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ส่วนครึ่งปีแรก มีรายได้ 6,483 ล้านบาท โตขึ้น 63.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้สัดส่วนรายได้ของธุรกิจ Non-Oil ขยับเพิ่มเป็น 6.6% ของรายได้รวม ขณะที่ธุรกิจน้ำมัน สัดส่วนลดลงมาอยู่ที่ 93.4% จากที่เคยอยู่ในระดับ 96-97% ของรายได้ทั้งหมด

หากแยกแต่ละธุรกิจในส่วนของ Non-Oil พบว่า ในส่วนของธุรกิจก๊าซ LPG ปริมาณการจำหน่ายครึ่งปีแรกอยู่ที่ 305 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 35.0% ขณะที่สถานีบริการแก๊สรถยนต์ ยังคงเป็นผู้นำ ด้วยส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ที่ 27.5% ธุรกิจกาแฟ ครึ่งปีแรกมีรายได้ 557 ล้านบาท เติบโต 70.2% ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ Max Mart ครึ่งปีแรกมีรายได้ 972 ล้านบาท โต 49.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ธุรกิจศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs ครึ่งปีแรก รายได้ 240 ล้านบาท โต 58.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อนหน้า 

"พร้อมกันนี้ PTG ยังเร่งรุกธุรกิจด้าน Non-Oil มากขึ้น เพื่อบริหารความเสี่ยงด้านกลไกราคาน้ำมัน และมีการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต โดยแนวโน้มครึ่งปีหลัง คาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้น เพราะเชื่อว่าไตรมาส 2 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี ขณะที่ยอดขาย ทั้งปริมาณน้ำมัน และธุรกิจ Non-Oil ยังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และคาดว่าค่าการตลาดที่ฉุดผลประกอบการในไตรมาส 2 น่าจะอยู่ในระดับที่ดีกว่าครึ่งปีแรก และเชื่อว่าในไตรมาส 4 หลังจากมีรัฐบาลชุดใหม่ จะมีนโยบายหรือมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ออกมา จะส่งในเชิงบวกต่อผลประกอบการของบริษัทฯ มากขึ้น" นายรังสรรค์ ระบุ

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายขยายสถานีบริการน้ำมันครึ่งปีหลังอีก 40 สถานี เป็น 2,206 สถานี และตั้งเป้ายอดขายน้ำมันเพิ่มขึ้นจากเดิมที่วางเป้าไว้ 8-12% เป็น 10-15% หลังครึ่งปีแรกเติบโต 14.3% ส่วนธุรกิจ Non-Oil ตั้งเป้าเติบโต 75-85% ซึ่งครึ่งปีแรก ทำได้ 63.1% โดยคาดว่าธุรกิจก๊าซ LPG และธุรกิจกาแฟ น่าจะเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้จะปรับลดเป้าหมายขยายสาขากาแฟพันธุ์ไทยเหลือ 1,200 สาขาก็ตาม
 
ราคาหุ้นยังมี Upside แนะนำ "ซื้อ"

สำหรับกรณีที่รัฐบาลได้มีการประกาศนโยบายเร่งด่วนเกี่ยวกับการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนให้เกิดการบริหารจัดการราคาพลังงาน ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในทันที เบื้องต้น บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า มีผลกระทบในวงจำกัดต่อ PTG พร้อมทั้งคาดกำไรปกติ Q3/66 ที่ระดับ 250-300 ล้านบาท เติบโต YoY และ QoQ แม้ปริมาณขายน้ำมันมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน ตามปัจจัยฤดูกาล หลังได้แรงหนุนจากค่าการตลาดน้ำมันรวมที่มีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับ 1.70 บาท/ลิตร +/- และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจปาล์ม (PPPGC) ที่คาดผ่านจุดต่ำสุดแล้วใน Q3/65 หลังปริมาณความต้องการใช้ไบโอดีเซลฟื้นตัวตามปริมาณการเดินทางในประเทศ 
หากมองไป Q4/66 คาดกำไรปกติฟื้นตัวเด่นทั้ง YoY และ QoQ และเป็นจุดสูงสุดของปีจาก 1) แนวโน้มค่าการตลาดน้ำมันที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง 2) คาดปริมาณขายทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสที่ระดับ 1,600 ล้านลิตร +/- (ผลจากการเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวและช่วง High Season ของการท่องเที่ยวในประเทศ) และ 3) การขยายสาขาธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยเป็น 1,200 สาขาภายในปี 2566 (มี 703 สาขา ณ สิ้น Q2/66) ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้น Q2/67 ที่ 13.20 บาท/หุ้น ปรับคำแนะนำเป็น "ซื้อ" 

โดยคงกำไรปกติปี 66 ที่ 1,005 ล้านบาท (+8% YoY) แต่ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้น Q2/67 ที่ 13.20 บาท/หุ้น (อิง PER 17.5 เท่า) มี Upside +32.0% โดยราคาหุ้นมีการปรับตัวลงราว -8% ในช่วงที่ผ่านมาจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายลดค่าน้ำมันของรัฐบาลที่อาจมีการแทรกแซงค่าการตลาดน้ำมัน ส่งผลให้ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PER2566 และปี 67 เพียง 16.6 เท่า และ 11.0 เท่า ตามลำดับ จึงมองว่าเริ่มมี Downside จำกัดแล้ว จึงปรับคำแนะนำจาก “TRADING” ขึ้นเป็น “ซื้อ”