Phones





กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ เปิดมุมมองการลงทุนปี 67 ชี้ศก.โลกชะลอตัว

2024-02-14 20:56:59 65



 
นิวส์ คอนเน็คท์ – กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ เปิดมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2567 ในงานสัมมนา KRUNGSRI EXCLUSIVE Investment Outlook 2024 : AI Trends and Investment Strategies เปิดกลยุทธ์การลงทุนปี 67 ชี้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว รอลุ้นจังหวะดอกเบี้ยขาลง แนะลงทุนในตราสารหนี้และกองทุนรวมหุ้นเทคฯ
 
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (จำกัด) มหาชน หรือ BAY เปิดเผยว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว โดยแรงหนุนหลักมาจากภาคบริการ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังคงชะลอตัว เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในหลายๆ ประเทศ โดยมองว่าวัฎจักรการขึ้นดอกเบี้ยได้สิ้นสุดแล้ว และปัจจุบันอยู่ในช่วงนับถอยหลังสู่การปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งหากเจาะลึกลงไปในประเทศหลักๆ จะพบว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯยังคงชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Soft Landing) โดยในปีนี้จะชะลอลงจากปีก่อน แต่ยังไม่น่ากังวลมากนัก และคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงกลางปีเป็นต้นไป ในส่วนของยูโรโซน ถึงแม้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาสามารถพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาได้อย่างหวุดหวิด
 
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของยูโรโซนจะยังคงฟื้นตัวช้าเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ จึงอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าสหรัฐฯ สำหรับญี่ปุ่น เศรษฐกิจในปีที่ผ่านมามีการฟื้นตัวและเติบโตขึ้น 1-2% เนื่องจากได้รับอานิสงค์จากการเปิดประเทศ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจในปีนี้จะเริ่มชะลอตัว และด้วยเงินเฟ้อที่ระดับ 2% จึงคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะมีการปรับนโยบายขึ้นมาเป็นบวก ทางฝั่งของจีน เศรษฐกิจในปีนี้น่าจะชะลอตัวอยู่ที่ระดับ 4-6% จากเดิมปีที่แล้วอยู่ที่ 5% โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงยืดเยื้อ และส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน สำหรับประเทศกลุ่ม ASEAN 5 ได้แก่ ไทย อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ คาดการณ์ว่าในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยอยู่ที่ 4.7% สูงขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 4.2% นับเป็นหนึ่งในไม่กี่ภูมิภาคที่มีการเติบโตที่ดี
 
ในส่วนของไทย ปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวดีกว่าปีก่อนหน้า โดยปัจจัยที่จะสนับสนุนเศรษฐกิจไทย คือ 1.การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวซึ่งส่งผลให้การจ้างงานและภาคการบริโภคฟื้นตัวตามไปด้วย, 2.การใช้จ่ายของภาครัฐจะเริ่มกลับมาทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่หลังจากพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 ผ่านสภาในช่วงเม.ย. – พ.ค. ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงยังคงเกิดจากการที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวต่อเนื่อง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตร นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ของเศรษฐกิจไทยเช่น ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ต้นทุนสูง ปัญหาเชิงโครงสร้าง ตลอดจนความไม่แน่ในเชิงนโยบาย
 
ด้านนายเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ CFA ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนทางเลือก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด กล่าวว่า โอกาสการลงทุนจากกระแสของ AI โดยนักลงทุนสามารถมองหาโอกาสการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่อยู่ใน Value Chain ทั้งหมดของ AI ได้ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์ หรือ Chip ได้แก่ NVIDIA AMD และ TSMC และกลุ่ม Data Infrastructure ซึ่งเป็นกลุ่มข้อมูลที่ใช้ในการเทรนด์เอไอ รวมถึงแอปพลิเคชันหรือซอฟต์แวร์ที่ผู้บริโภค หรือ End User ใช้งาน ซึ่งหลังจากนี้จะได้เห็นการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ มากมาย
 
โดยหากเจาะจงที่หุ้นในกลุ่ม 7 นางฟ้า หรือ Magnificent 7 ซึ่งประกอบด้วย Apple (AAPL) Amazon (AMZN) Meta Platforms (META) Alphabet (GOOGL) Microsoft (MSFT) Nvidia (NVDA) และ Tesla (TSLA) พบว่าในปีที่ผ่านมามีการปรับราคาสูงขึ้น ขณะที่หุ้นเทคอื่นๆ ในตลาดยังไม่ปรับราคาสูงขึ้นหรือมีการปรับราคาสูงขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ดังนั้นนับเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเข้าไปลงทุนเพิ่มเติมได้ ขณะที่หุ้น 7 นางฟ้า ในปีนี้คาดว่ายังคงเติบโตต่อเนื่องจากผลประกอบการและมุมมองเชิงบวกจากกลุ่มนักวิเคราะห์
 
ด้านนายวิรัตน์ วิทยศรีธาดา CFA ผู้บริหารฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์และที่ปรึกษาการลงทุน และหัวหน้าทีม Krungsri Investment Intelligence ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มุมมองการลงทุนในปีนี้จะผ่าน 3 ธีมหลัก ได้แก่ ธีมที่หนึ่ง สำหรับช่วงดอกเบี้ยขาลง แนะนำลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ เช่น KF-CSINCOM ซึ่งลงทุนในกองทุนหลัก PIMCO GIS Income โดยจากข้อมูลในอดีตชี้ให้เห็นว่าหากเข้าลงทุนในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยตลาดอยู่ในระดับสูงจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะหน้า ซึ่งในช่วง 1-3 ปีต่อจากนี้ อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาลงจึงเป็นโอกาสของการลงทุนตราสารหนี้
 
ในส่วนของตลาดหุ้น ช่วงที่ผ่านมาตลาดอยู่ในช่วงขาลงเพราะสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจากข้อมูลในอดีตจะเห็นว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักให้ผลตอบแทนที่ดีหลังจากที่เฟดลดดอกเบี้ยครั้งแรกและเศรษฐกิจไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 งบของบริษัทจดทะเบียนค่อนข้างดี และนักวิเคราะห์ยังปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสองปัจจัยที่ผลักดันตลาดหุ้นคือ ดอกเบี้ยที่เป็นเทรนด์ขาลง และกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงแข็งแกร่ง
 
อย่างไรก็ตาม จุดที่น่ากังวลของตลาดคือ หุ้นโดยเฉพาะหุ้นเทค P/E ที่ 20 เท่า ซึ่งราคาค่อนข้างสูง ทำให้การ Upside ของตลาดหุ้นจำกัดจากเรื่องของมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้น จึงเป็นที่มาของการลงทุนในธีมที่สอง เมื่อเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว แนะนำลงทุนหุ้นในกลุ่ม Defensive อย่างเช่นกองทุน KFGBRAND ซึ่งกระจายการลงทุนหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค สุขภาพ และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคงมีกำไรที่แข็งแกร่งแม้ในช่วงวิกฤต โดยจากผลตอบแทนรายปีในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า ในช่วงวิกฤติกองทุนดังกล่าวไม่ได้ปรับลงมากเท่าตลาด และยังสามารถปรับขึ้นได้ในบางช่วงอีกด้วย และธีมที่สาม ด้วยเทรนด์การเติบโตของ Generative AI อาจส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคมีราคาสูง แต่ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก จึงแนะนำกองทุนอย่าง KFHTECH ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีต่างๆ เป็นหลัก ซึ่งคาดว่ารายได้จากกลุ่มธุรกิจเทคฯ จะเติบโตเฉลี่ย 42% ต่อปีในช่วง 10 ปีข้างหน้า
 
ด้านนายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงไตรมาส 4/2567 ภาพรวมตลาดหุ้นโต 1.6% แต่หากเอาหุ้นเทคที่กล่าวถึง 6-7 ตัวออก Earning Growth จะยังคงติดลบอยู่ประมาณ 10% ดังนั้นจะต้องเพิ่มความระมัดระวัง โดยอาจจะเพิ่มหุ้น Defensive เช่น หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค รวมไปถึงหุ้นกลุ่ม Generative AI ซึ่งหากใครยังไม่มีอาจจะต้องรอจังหวะค่อยๆ สะสมไป รวมไปถึงพันธบัตรรัฐบาลที่น่าสนใจด้วย Yield ที่สูงประมาณ 4% กว่า ถือไว้ยังไงก็ไม่ขาดทุน
 
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยค่อนข้าง Laggard และตอนนี้เข้าข่าย Low Growth, Low Inflation ซึ่งน่าจะปิดปีที่ประมาณ 1,450 แต่ถ้า FED ลดดอกเบี้ยได้เร็ว และตลาดเริ่มฟื้นอาจจะปิดที่ประมาณ 1,500 แนะนำควรจะหลีกเลี่ยงหุ้นใหญ่ และรอดูสัญญาณ Macro ก่อน เน้นหุ้นที่มีธีมชัดๆ และมี Earning Growth ที่ชัดเจน เช่น หุ้นกลุ่ม ICT ได้แก่ TRUE หรือ ADVANC รวมไปถึงกลุ่มสินค้าแฟชันอย่าง MC และ Sabina ซึ่งเป็นหุ้นตัวเล็กทั้งคู่ แต่ Perform ค่อนข้างดี นอกจากนี้ ยังคงแนะนำหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่สามารถถือได้ยาวๆ โดยมองเป้า SET Index ไว้ใน 3 กรณี คือ 1.หากมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ 1,717 จุด, 2.หากไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ 1,644 จุด และ 3.หากเศรษฐกิจเติบโตชะลอ และเงินเฟ้อต่ำ ที่ 1,465 จุด