Phones





KBANKส่องจีดีพีขยายตัว2.7%-ชี้เป้าดัชนี1,725จุด

2020-01-21 17:21:21 1392



นิวส์ คอนเน็คท์ – KBANK ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 63 ขยายตัวระดับ 2.7% หลังสงครามการค้าสหรัฐ-จีนคลี่คลาย และคาดภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาส 2/63 แต่คาดค่าเงินบาทปีนี้ยังแข็งตัวจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูง ด้านภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีนี้ประเมินดัชนีสิ้นปี 1,725 จุด แนะลงทุนหุ้นกลุ่มบริหารหนี้เน่า และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง


เมื่อวันที่ 21 มกราคม 63 นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยในงานสัมมนา “จับตาเศรษฐกิจและหุ้นปังปีชวด” ว่า ภาพรวมเศรษกิจไทยในปีนี้ถือว่ามีปัจจัยกดดันลดลง เนื่องจากสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนเริ่มมีความรุนแรงลดลง และการลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะมีการเติบโตราว 6.9% รวมถึงการอนุมัติเงินงบประมาณที่ผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นการเบิกใช้ภายในช่วงไตรมาส 2/63 โดยประเมินว่าตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้จะเติบโตที่ระดับ 2.7%


อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าภาคการส่งออกของไทยในปีนี้จะยังติดลบ 1% แม้สงครามการค้าจะมีความรุนแรงลดลง แต่ถือว่ายังไม่ได้เป็นไปในทิศทางบวกมากนัก เนื่องจากจีนต้องมีการสั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐคิดเป็นมูลค่ากว่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ภายในระยะ 2 ปีข้างหน้า ซึ่งทำให้ยังไม่ปลดล็อกภาษีที่สหรัฐเรียกเก็บจากจีนไปแล้วก่อนหน้านี้ราว 3.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จึงยังไม่ทำให้ภาคการส่งออกของไทย และทั่วโลกฟื้นตัวมากนัก


สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในปีนี้มองว่ามีโอกาสที่จะอ่อนค่าลงบ้างในช่วงต้นปี เนื่องในปี 62 ที่ผ่านมาเงินบาทมีการแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาค รวมทั้งมีโอกาสที่ทางการของไทยจะมีการผ่อนคลายเกณฑ์การเปิดเสรีเงินทุนเคลื่อนย้ายเพิ่มเติมเพื่อลดแรงกดดันบาทแข็งค่าจนเกินไปทำให้คาดว่าเงินบาทจะมีช่องให้อ่อนค่าลงบ้างในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การที่บัญชีเดินสะพัดของไทยยังเกินดุลค่อนข้างสูง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าเงินบาทในระยะยาวยังคงแข็งค่าต่อไป โดยประเมินค่าเงินบาทช่วงกลางปี 63 จะอยู่ที่ 29.75 บาทต่อดอลลาร์ และสิ้นปี 63 อยู่ที่ 29.25 บาทต่อดอลลาร์


ด้านนายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 63 ถือว่ามีปัจจัยเสี่ยงลดลง ทั้งในเรื่องสงครามการค้าที่ผ่านจุดเลวร้ายไปแล้ว ความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยของเฟด ราคาน้ำมันที่ปรับตัวดีขึ้น และกลุ่มโอเปกเข้ามารักษาเสถียรภาพของราคา ขณะที่กำไรต่อหุ้น(EPS) ในปีนี้คาดว่าอยู่ที่ 100-101 บาท และมี Downside อยู่ที่เพียง 7% ซึ่งถือว่าดีกว่าปีก่อนที่ EPS ลดลงไปถึง 20% ต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปี


ทั้งนี ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 1/63 จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,555-1,630 จุด และประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 63 ไว้ที่ระดับ 1,725 จุด โดยหุ้นที่มีความน่าสนใจลงทุนในปีนี้คือ หุ้นกลุ่ม Non bank โดยเฉพาะที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อหนี้มาบริหาร เช่น JMT หุ้นกลุ่มก่อสร้าง เช่น STEC หุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ เช่น PTTEP, GPSC


สำหรับหุ้นกลุ่มที่มองว่ามีความเสี่ยง และฝ่ายวิจัยมองว่าเป็นหุ้น Overhang ของปีนี้คือ หุ้นกลุ่มไอซีที ซึ่งมีความเสี่ยงการการเข้าประมูลคลื่น 2,600 MHz เพราะหาก CAT กับ TOT เข้าร่วมประมูลด้วยก็จะส่งผลให้ราคาในการเข้าประมูลคลื่นเพิ่มสูงขึ้น และจะกระทบต่อโอเปอร์เรเตอร์หลักทั้ง 3 รายอย่าง AIS, DTAC, TRUE หุ้นกลุ่มค้าปลีก ที่มีความเสี่ยงจากปัญหาภัยแล้ง และความเสี่ยงจากประเด็นเทสโก้ โลตัส ซึ่งผู้เข้าร่วมประมูลซื้อมีความเสี่ยงที่ต้องเพิ่มทุน และยังไม่ชัดเจนว่าจะต้องใช้เงินลงทุนในดีลนี้จำนวนเท่าใด


นอกจากนี้ มองว่าหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีควรจะหลีกเลี่ยงการลงทุนเช่นกัน โดยมีความเสี่ยงจากการการเลิกใช้พลาสติกส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมเช่น IRPC, PTTGC ส่วนกลุ่มท่องเที่ยว มีความเสี่ยงจากโรคระบาดในประเทศจีน ซึ่งจะกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะลดลง และกลุ่มอสังหาฯที่ยังมีความเสี่ยงจากโอเวอร์ซับพลายที่ค่อนข้างสูง


ในส่วนของหุ้นกลุ่มแบงก์มองว่าเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงจากนโยบายภาครัฐ รวมทั้งประเมินว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะชะลอตัวลงจากปีก่อนราว 2% และหากในช่วงไตรมาส 1/63 มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง. ก็จะกระทบต่อกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารให้ลดลงอีก 3% และทำให้กำไรทั้งปี 63 ของกลุ่มธนาคารมีโอกาสลดลง 3-5% เมื่อเทียบจากปีก่อน