นิวส์ คอนเน็คท์ – TMB ผลงานแกร่งไม่สนโควิด-19 อวดกำไรสุทธิครึ่งปีแรกเติบโต 107% สู่ระดับ 7,258 ล้านบาท หลังมีการรับรู้รายได้จากธนชาตเข้ามาในงบการเงินรวม พร้อมกับการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ด้านหนี้ NPL ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2.34% ส่วนแผนการรวมกิจการยังเดินหน้าตามเป้าหมาย

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB เปิดเผยว่า ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 63 ธนาคารและบริษัทย่อยมีรายได้เพิ่มขึ้นตามการรับรู้รายได้จากธนาคารธนชาตเข้ามาในงบการเงินรวม รวมทั้งบริหารค่าใช้จ่ายเพื่อการดำเนินงาน และเพื่อการรวมกิจการอย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้กำไรก่อนหักสำรองฯอยู่ที่ 18,653 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119.2% อย่างไรก็ตาม ธนาคารตั้งสำรองฯ เป็นจำนวน 9,732 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นการตั้งสำรองฯ ตามเกณฑ์ และส่วนที่ตั้งเพิ่มเติมเพื่อรองรับแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ด้านคุณภาพสินเชื่อเน้นการบริหารจัดการในเชิงรุก ทำให้สามารถลดอัตราส่วนหนี้เสียลงมาอยู่ในระดับต่ำที่ 2.34% ซึ่งหลังจากหักสำรองฯ และภาษี ธนาคารมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 7,258 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 107.6% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน

ทั้งนี้ ภาพรวมการดำเนินงานว่าในช่วงครึ่งปีแรกถือว่าในส่วนของการรวมกิจการสามารถทำได้ตามเป้าหมาย โดยเฉพาะในแง่ของการรับรู้ผลประโยชน์ด้านงบดุล (Balance Sheet Synergy) และด้านต้นทุน (Cost Synergy) ขณะที่ขั้นตอนการรวมธนาคาร เช่น การเปิดสาขาร่วมระหว่างทีเอ็มบีและธนาคารธนชาต (Co-location) ก็มีความคืบหน้าได้ตามแผนที่วางเอาไว้เช่นกัน

สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มส่งผลกระทบมากขึ้นในช่วงไตรมาส 2/63 ซึ่งทั้ง TMB และธนชาตให้ความสำคัญกับการเร่งให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ควบคู่ไปกับการเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงิน เพราะประเมินว่าสถานการณ์โควิด-19 จะยังคงสร้างแรงกดดันต่อการดำเนินงานและคุณภาพสินทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปี โดย 3 เรื่องหลักที่ธนาคารได้เตรียมความพร้อมไว้ ได้แก่ การคงสภาพคล่องในระดับสูงด้วยการเติบโตฐานเงินฝาก การเพิ่มคุณภาพด้านงบดุลด้วยการลดยอดหนี้เสีย และการคงเงินกองทุนในระดับสูง ซึ่งก็ทำได้ตามแผน เป็นการเพิ่มความสามารถของธนาคารในการรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในช่วงถัดไป

ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2/63 ธนาคารสามารถเติบโตเงินฝากได้ 3.2% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 1.44 ล้านล้านบาท โดยมาจากเงินฝากลูกค้ารายย่อย No Fixed และ All Free ขณะที่สินเชื่อปรับตัวลดลง 1.5% มาอยู่ที่ 1.38 ล้านล้านบาท ตามการชะลอลงของยอดสินเชื่อใหม่ และจากการปรับโครงสร้างพอร์ตสินเชื่อด้วยการลดสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันและเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อที่มีหลักประกัน โดยเฉพาะในพอร์ตสินเชื่อรายย่อย ซึ่งปัจจุบันกว่า 90% ของพอร์ตสินเชื่อรายย่อยเป็นสินเชื่อที่มีหลักประกัน

ในส่วนรายได้ของไตรมาส 2/63 ทั้งรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยชะลอลงจากไตรมาส 1/63 เนื่องจากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนชะลอตัวลง ทำให้รายได้รวมอยู่ที่ 16,569 ล้านบาท ลดลง 8.9% ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,776 ล้านบาท ลดลง 6.7% ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ อยู่ที่ 8,791 ล้านบาท ลดลง 10.9% จากไตรมาสก่อนหน้า

นอกจากนี้ ในไตรมาส 2/63 ธนาคารตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้น 4.5% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 4,972 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยการตั้งสำรองฯ ตามเกณฑ์ปกติ สำรองฯ ส่วนเพิ่มเพื่อรองรับแนวโน้มเศรษฐกิจ และการรับรู้การตั้งสำรองฯ จำนวน 1.6 พันล้านบาท จากธนาคารธนชาต ซึ่งมีเงินลงทุนในตราสารหนี้ของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 3.15 พันล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2.0% ของพอร์ตการลงทุนตามงบการเงินรวม อย่างไรก็ตาม ธนาคารและบริษัทย่อยไม่มีเงินให้สินเชื่อ หรือตราสารทางการเงินประเภทอื่นๆ แก่การบินไทย โดยหลักจากหักสำรองฯ และภาษี กำไรสุทธิของไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 3,095 ล้านบาท ลดลง 25.7% จากไตรมาสก่อน

ด้านคุณภาพสินทรัพย์ ธนาคารดำเนินการแก้หนี้เสียเชิงรุกด้วยการตัดหนี้สูญ (Write off) และการขาย ทำให้สามารถลดยอดหนี้เสียลงได้ 12.2% จาก 44,183 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 38,805 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้เสียลดลงจาก 2.76% ในไตรมาสที่แล้วมาอยู่ที่ 2.34% ขณะที่ความเพียงพอของเงินกองทุนยังคงแข็งแกร่งและสูงเป็นลำดับต้นๆ ในอุตสาหกรรมธนาคารไทย โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 อัตราส่วน CAR และ Tier I เบื้องต้นอยู่ที่ 18.5% และ 14.6% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 11.0% และ 8.5% ตามลำดับ

>>>สามารถอ่านข่าวเพิ่มเติมได้ทาง http://www.newsconnext.com
หรือติดตามผ่านช่อง Line@ ได้ที่ News Connext
ช่องทาง Fanpage Facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/connextnews